เมื่อเวลา 11.50 น. วันที่ 6 ต.ค. 67 ศูนย์วิทยุร่มโพธิ์ทอง สภ.เมืองอุดรธานี ได้รับแจ้งเหตุแม่เสพยาบ้าคลุ้มคลั่งอาละวาดถือมีดไล่ทำร้ายลูกจนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่บ้านหลังหนึ่ง ใน ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี หลังรับแจ้งเหตุ ร.ต.อ.ประวิทย์ ลาสาลี รอง สวป.สภ.ย่อยห้วยหลวง ด.ต.ประชา แข็งแรงดี หน.สถานีตำรวจชุมชน ต.เชียงยืน ตำรวจสวยตรวจ 191 และผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน รุดไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียวยกพื้นสูง ด้านหน้ามีเพิงไม้หลังคาสังกะสี ไม่มีรั้วหน้าบ้าน บนบ้านพบ น.ส.อ้อม อายุ 32 ปี อยู่ในอาการตื่นตกใจ เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญตัวลงมานั่งพูดคุยที่บันไดขึ้นบ้าน ก่อนให้การสับสนไปมา อ้างว่าไม่ได้ทำร้ายใคร มีเด็กที่ไหนก็ไม่รู้มานอนอยู่ที่เพิงหน้าบ้าน แล้วขึ้นไปบนบ้านไปทุบทำลายตู้เสื้อผ้า และทำร้ายตนเอง แต่ก็ยอมรับว่าเสพยาบ้ามาครึ่งเม็ด ซื้อมาเอง ไม่ได้ไปขโมยใครมา

ระหว่างพูดคุย น.ส.เอ อายุ 51 ปี เจ้าของบ้านและเป็นแม่ของ น.ส.อ้อม ได้พา ด.ช. อายุ 13 ปี ซึ่งเป็นลูกชาย น.ส.อ้อม กลับมาจากทำแผลที่ รพ.สต. โดยมีบาดแผลที่ข้อศอกและเข่าด้านซ้าย เนื่องจากหกล้ม และมีรอยปูดบวมที่ศีรษะเนื่องจากถูกท่อนไม้ขว้างใส่ ก่อนที่ น.ส.อ้อม จะรีบชี้บอกว่า เด็กคนนี้แหละที่ขึ้นไปทำร้ายตน เป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่ลูกตน จากนั้นก็โต้เถียงกับแม่และญาติตัวเองเสียงดังเอะอะ ทำให้นายย่อม อายุ 78 ปี พ่อ น.ส.เอ และเป็นตาของ น.ส.อ้อม เกือบระงับอารมณ์ไม่อยู่ เงื้อมือจะตบสั่งสอนหลานสาว ที่เสพยาจนเพี้ยนจำใครไม่ได้ และทำร้ายลูกตัวเอง

เจ้าหน้าที่ตำรวจกลัวจะเกิดเหตุการณ์บานปลาย จึงนำตัว น.ส.อ้อม ขึ้นไปค้นบนบ้าน พบกระดาษฟอยล์ ทำเป็นอุปกรณ์เสพยาบ้า ที่เสพไปแล้วครึ่งเม็ด เหลือเศษอยู่ครึ่งเม็ด จึงตรวจยึดพร้อมมีดพร้ายาวประมาณ 50 ซม. 2 เล่ม นำตัวขึ้นรถกระบะตราโล่ไปทำการสอบสวนที่โรงพัก ท่ามกลางเสียงก่นด่าและวิจารณ์ของญาติและชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะหากลูกของ น.ส.อ้อม วิ่งหนีไม่ทัน อาจจะเกิดเหตุรุนแรงสูญเสียชีวิตก็เป็นได้

ลูก น.ส.อ้อม เล่าว่า ตนขึ้นไปบนบ้านจะไปเอาโทรศัพท์มือถือของตัวเองมาจากแม่ แม่จึงโมโหดุด่าตน ก่อนใช้มือบีบคอ ตนสะบัดหลุดออกมาจากแม่ได้ ก็วิ่งลงมาจากบนบ้าน แม่ก็วิ่งตามมาคว้าไม้ขว้างใส่หัวตนโดนอย่างจังไป 1 ครั้ง แม่ยังไม่หยุดเท่านั้น ได้ไปคว้าเอามีดพร้ามา 2 เล่ม แล้ววิ่งปรี่เข้ามาจะทำร้ายซ้ำอีก ตนจึงวิ่งหนีตายไปที่วัดใกล้บ้าน ห่างไปประมาณ 50 เมตร จนล้มลงที่พื้นได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นมีผู้ใหญ่คนอื่นอยู่ในวัดมาเห็น จึงเข้ามาให้การช่วยเหลือ แม่ทำร้ายตนบ่อยมาก แต่ก็ยังรักแม่เหมือนเดิม อยากให้แม่หายจากอาการนี้

น.ส.เอ เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตนไม่เห็น ออกไปทำธุระนอกบ้าน มีชาวบ้านโทรฯบอกจึงรีบกลับมาดูหลาน เมื่อเห็นหลานมีแผลก็รีบพาไปทำแผล เพราะหลานมีโรคประจำตัวเป็นโรคทาลัสซีเมีย เลือดน้อย เลือดจาง กลัวจะเป็นอันตรายมาก หลานต้องเปลี่ยนเลือดอยู่เป็นประจำ ไม่แข็งแรง แต่ก็ต้องมาเจอแม่คลั่งทำร้ายอยู่ตลอด สงสารหลานมากที่ต้องมาเจอแบบนี้ ตนมีลูก 2 คน น.ส.อ้อม เป็นคนเล็ก คนโตเป็นผู้ชาย เสียชีวิตไปแล้ว จึงเหลือ น.ส.อ้อม คนเดียว แต่ก็ติดยาไม่ช่วยทำมาหากินอะไร ซ้ำยังทิ้งลูก 3 คน ให้ตนเลี้ยง

“ที่ผ่านมาต้องอยู่อย่างหวาดผวา เคยพาลูกไปรักษาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งละ 3 เดือน ออกมาก็กลับมาเสพอีก เป็นแบบนี้มา 10 ปี แล้ว จนต้องหนีลงมาปลูกเพิงอยู่หน้าบ้าน เป็นห่วงหลานมากกลัวจะถูกแม่ฆ่าตายสักวัน แม้แต่ตัวแม่เองก็ไม่ปลอดภัย ปกติจะให้เงินลูกวันละ 20-40 บาท เพื่อซื้อข้าวซื้อน้ำ แต่ก็เอาซื้อยาเสพทุกครั้ง และสิ้นเดือนที่ผ่านมา ลูกได้เงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท ตนเก็บไว้ 3 พันบาท ให้ญาติ 1 พันบาท ลูกเก็บไว้เอง 6 พัน แต่คิดว่าคงไม่เหลือแล้ว คงซื้อยามาเสพหมดแล้ว เสพหนักจนจำใครไม่ได้ จำลูกตัวเองไม่ได้ จำแม่ตัวเองไม่ได้” น.ส.เอ กล่าว

นายย่อม ตา น.ส.อ้อม เล่าด้วยความโมโหว่า เขาทำร้ายลูกประจำ แต่ลูกเขาก็รักแม่มาก ชอบอยู่กับแม่ เสียใจมากที่หลานเป็นแบบนี้ เขาจำใครไม่ได้เลย พูดจาเพ้อเจ้อ อารมณ์ร้าย เงินหมื่นดิจิทัลที่ได้มาคิดว่าคงเอาไปเสพยาหมดแล้ว เพราะวันแรกที่ได้ก็เห็นเอาไปซื้อยาทันที 1 พันบาท เช้าวันนี้เงินคนจนออก 300 บาท ก็เอาไปซื้อมาเสพอีก อยากให้เอาไปบำบัดรักษาให้หายขาด เพราะยังเป็นแบบนี้ ลูกเขาและญาติคนอื่น คงต้องได้รับบาดเจ็บหนัก อาจถึงขั้นเสียชีวิตก็ได้

เบื้องต้นตำรวจจะทำการตรวจปัสสาวะ น.ส.อ้อม เพื่อหาสารเสพติด และรอให้ญาติไปพบพนักงานสอบสวนอีกครั้ง หากประสงค์จะแจ้งความดำเนินคดีเรื่องทำร้ายร่างกายลูกชายตัวเอง ซึ่งจะได้ทำการสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.