ศูนย์วิจัยกสิกรไทย และ บล.กสิกรไทย รายงานสถานการณ์และแนวโน้มหุ้นไทยในสัปดาห์หน้า โดยสรุปหุ้นไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวนต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน โดยดีดตัวขึ้นในช่วงแรกตามปัจจัยบวกในประเทศ ก่อนจะร่วงลงในเวลาต่อมาตามปัจจัยลบจากต่างประเทศ

หุ้นไทยแกว่งตัวกรอบแคบในช่วงแรกก่อนจะดีดตัวขึ้นแรงในวันที่ 1 ต.ค. ซึ่งเป็นวันแรกที่กองทุนวายุภักษ์ทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยปัจจัยดังกล่าวกระตุ้นแรงซื้อหุ้นหลายกลุ่ม นำโดย กลุ่มแบงก์และเทคโนโลยี นอกจากนี้หุ้นไทยยังมีปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากประเด็นข่าวที่ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศเข้าลงทุนในประเทศไทยด้วยวงเงินที่ค่อนข้างสูง

หุ้นไทยพลิกร่วงตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ตามทิศทางหุ้นต่างประเทศ โดยมีปัจจัยลบจากความกังวลต่อสถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางระหว่างอิหร่านและอิสราเอล ส่งผลให้นักลงทุนเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง อย่างไรก็ดีหุ้นไทยฟื้นตัวกลับมาได้เล็กน้อยช่วงปลายสัปดาห์ โดยมีแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มพลังงานซึ่งได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้น และกลุ่มเทคโนโลยีจากประเด็นข่าวควบรวมกิจการระหว่างบริษัทผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมและบริษัทด้านพลังงาน

ในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. 2567 ดัชนี SET ปิดที่ระดับ 1,444.25 จุด ลดลง 0.41% จากระดับปลายสัปดาห์ก่อน ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 56,991.12 ล้านบาท ลดลง 0.66% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai ลดลง 3.10% มาปิดที่ระดับ 343.54 จุด

สัปดาห์ถัดไป (7-11 ต.ค.) บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,425 และ 1,400 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,460 และ 1,475 จุด ตามลำดับ โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. ของไทย ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และทิศทางเงินทุนต่างชาติ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย. ข้อมูลการนำเข้าและส่งออกเดือนส.ค. บันทึกการประชุมเฟด (17-18 ก.ย.) รวมถึงจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ขณะที่ปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศอื่นๆ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ย. ของญี่ปุ่น และยอดค้าปลีกเดือนส.ค.ของยูโรโซน