จากภาวะสงครามตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอล-อิหร่าน ที่เริ่มก่อความรุนแรงขึ้น บวกกับค่าเงินบาทอ่อน และอานิสงส์การปรับลดดอกเบี้ยของเฟดช่วงเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา รวมทั้งการส่งสัญญาณจะปรับลดอีกหลังจากนี้ ส่งผลให้ในช่วง 5 วันที่ผ่านมา (1-5 ต.ค. 67) ราคาทองคำปรับตัวขึ้นติดต่อกันถึง 1,300 บาท

ราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 41,600 บาท ขายออกบาทละ 41,700 บาท และทองรูปพรรณ รับซื้อบาทละ 40,856.20 บาท ขายออกบาทละ 42,200 บาท

ซึ่งเป็นการขยับตัวขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดในรอบหลายเดือน จากก่อนหน้านี้ราคาแกว่งขึ้นแกว่งลงในระดับราคา 40,000 ต้นๆ เท่านั้น

การปรับขึ้นมาของราคาทองคำในระยะนี้ นักลงทุนควรถือต่อหรือปล่อยขาย

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แนะนำว่า นักลงทุนควรเฉลี่ยต้นทุนในการเข้าซื้อเพื่อถือระยะยาว เพราะขณะนี้ราคาปรับขึ้นมาใกล้แตะระดับสูงสุดที่คาดการณ์ระดับ 2,700 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ 

จากนั้น ทองคำมีโอกาสย่อตัวแรงๆ ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นไปอีก แม้ผู้เชี่ยวชาญจะประเมินว่าปีหน้ามีโอกาสเห็นที่ราคา 2,850 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ ที่เป็นขาขึ้น

“แต่โดยพฤติกรรมของทองคำจะปรับขึ้นเป็นฟันปลา และค่อยๆ ปรับฐานก่อนจะขึ้นมาใหม่”

ฉะนั้นในการจับจุดการลงทุนต้องจับตามองว่าจุดต่ำสุดที่ประมาณ 2,600 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือหลุด 40,000 บาท เป็นจุดที่ทยอยสะสมได้ จากปีนี้คาดว่าราคาทองคำน่าจะทำจุดสูงสุดที่ 42,500 บาทต่อบาททองคำเท่านั้น ซึ่งต่ำจากเดิมที่เคยประมาณว่าอยู่ที่ 43,500 บาทต่อบาททองคำ แต่เนื่องจากค่าเงินบาทแข็ง