เมื่อวันที่ 4 ต.ค.67 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่าการประชุม ACD summit ที่เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ ครั้งนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แสดงบทบาทผู้นำของประเทศไทยอย่างยอดเยี่ยม และเป็นที่ชื่นชมของผู้นำต่างประเทศจำนวนมาก ล่าสุดติดอันดับ 100 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคตของนิตยสาร TIME

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงวิสัยทัศน์ โดยเสนอว่าในภาวะที่ความไม่สงบและมีความผันผวนในบริเวณกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ที่อาจจะทวีความรุนแรงขึ้นได้ จึงได้เสนอแนวคิดความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) โดยไทยจะเสนอเป็นประเทศที่จะผลิตอาหารเพื่อจำหน่าย อีกทั้งเก็บรักษาพร้อมส่งมอบให้กับกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางทันทีภายใน 24 ชม. หากมีความรุนแรงและความขาดแคลนในอาหารในกลุ่มประเทศดังกล่าว ซึ่งสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าประชาชนในกลุ่มประเทศในตะวันออกกลางจะไม่ขาดแคลนอาหาร ทำให้ประเทศต่างๆให้ความสนใจอย่างมาก เช่น UAE, Qatar, Kuwait, Oman เป็นต้น โดยประเทศไทยจะสามารถขายสินค้าเกษตร และอาหารสำเร็จรูปพร้อมทานและเก็บรักษาในประเทศไทยพร้อมส่งมอบทันทีให้กับประเทศในตะวันออกกลาง

รมว.พาณิชย์กล่าวต่อไปว่านายกฯได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์​ สานต่อความร่วมมือด้านการสร้างคลังอาหารกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางเพื่อรับมือกับความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ต่อไปให้สำเร็จ โดยตนได้มีโอกาสหารือกับรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และโอมาน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและส่งเสริมโอกาสความร่วมมือการค้าและการลงทุนระหว่างกัน รวมทั้งแสดงความพร้อมของไทยในการผลิตอาหารที่มีคุณภาพเพื่อเป็นคลังอาหารให้แก่ทั้งสองประเทศเพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร

นอกจากนี้ยังได้หารือกับดร.ธานี บินอาเหม็ด อัลเซ ยูดี (Dr. Thani Bin Ahmed Al Zeyoudi) รัฐมนตรีแห่งรัฐประจำกระทรวงเศรษฐกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกล่าวว่าสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 1 ของไทยในตะวันออกกลาง และไทยแสดงความพร้อมและศักยภาพที่จะเป็นแหล่งความมั่นคงทางอาหารให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จึงได้เชิญชวนมาลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและสินค้าเกษตรของไทย โดยทั้งสองฝ่ายยังแสดงเจตนารมน์ที่จะสรุปผลการเจรจาความตกลงการค้าเสรีไทย-ยูเออี ในโอกาสแรก

โดยรมว.พาณิชย์ ยังได้หารือกับ ดร. ซาอิด โมฮัมเหม็ด (Dr. Said Mohammed Al-Saqri) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจโอมาน เพื่อพูดคุยหารือแนวทางการขยายการค้าระหว่างกัน ทางฝ่ายโอมานได้ชื่นชมพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการนำ AI มาใช้ในภาคธุรกิจของไทย และเห็นว่าสองฝ่ายควรร่วมมือกันเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจการค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยฝ่ายโอมานแสดงความสนใจต่อบทบาทการเป็นคลังอาหารให้แก่โอมาน พร้อมทั้งเชิญชวนโอมานเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ฝ่ายโอมานแสดงความประสงค์ที่จะจัดทำความตกลงคุ้มครองการลงทุนระหว่างกันเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการลงทุนอีกด้วย

“กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกฯ ซึ่งได้เชิญชวน และแสดงความพร้อมของไทยในการเป็นคลังอาหารให้กับประเทศตะวันออกกลาง โดยในการหารือทวิภาคีวงต่างๆ ระหว่างผมกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของไทยในการผลิตอาหารและการมีสินค้าฮาลาลคุณภาพสูง โดยประเทศต่างๆมีความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในไทย และใช้ไทยเป็นคลังอาหารเพื่อจัดหาและส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารไปยังประเทศในตะวันออกกลาง เพื่อเสริมความมั่นคงทางอาหาร” นายพิชัยกล่าว