เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งคนที่ไม่มีใครไม่รู้จัก สำหรับ “อาม่าแต๋ว-อุษา เสมคำ” นักแสดงหน้าใหม่วัย 78 ปี ผู้ที่โด่งดังจากบทบาท “อาม่าเหม้งจู” จากภาพยนตร์ “หลานม่า” ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้กระแสตอบรับอย่างดีมาก ล่าสุดอาม่าแต๋ว ได้มาเปิดใจ ในรายการ “WOODY FM” ถึงความโด่งดังจากการรับบท อาม่าเหม้งจู ในภาพยนตร์หลานม่า ที่เรียกน้ำตาคนดูท่วมจอ พร้อมกับเล่าเรื่องราววันแรกที่เจอกับ บิวกิ้น ว่าเคมีเป็นอย่างไร พร้อมแชร์มุมมองการจากลาที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ เผยเลี้ยงลูกไม่เคยหวังให้มาเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่า โดยอาม่าแต๋วได้เผยว่า

“การที่แสดงภาพยนตร์เรื่องอาม่า ทำให้เข้าไปถึงจิตวิญญาณของตัวละครจนทำให้ทุกคนรัก ถามว่าได้สัมผัสถึงความรักที่ทุกคนมอบให้ไหม ได้รับตรงนั้นเต็มๆ เลยค่ะ เพราะเวลาเราไปไหนอย่างน้อยก็มีคนอยากจะเข้ามากอด มาถ่ายรูป แล้วยิ่งเด็กตัวเล็กๆ ก็จะวิ่งกันมาร้องกรี้ดๆ อาม่าๆ แล้วก็เข้ามากอดกัน เราก็มีความรู็สึกดีใจ เราก็รักเขาเหมือนลูกเหมือนหลานเหมือนกัน ตอนนี้ไปไหนก็เป็นแบบนั้นไปหมด กลายเป็นว่าตอนนี้อาม่าก็มีลูกหลานทั้งประเทศเลย มีต่างประเทศด้วยค่ะ ไปเวียดนาม เด็กๆก้ต้องเข้าโรงหนัง เราก็ต้องเข้าตามโรงหนัง เห็นเขาร้องไห้หนักมากเลย เลยถามว่าเขาเป็นเพราะอะไรถึงร้องขนาดนี้ ก็บอกว่าอาม่าเขาเพิ่งเสียไป แล้วก็กอดเราบอกว่าคิดถึงอาม่า ก็เลยปลอบน้องเขาไปบอกว่าทุกคนวันหนึ่งก็ต้องไปอย่างนี้ ถึงเวลาทุกคนก็ต้องจากกัน ไม่มีคนไหนที่ไม่จากกัน แต่ตอนนี้อาม่าหนูไม่อยู่แล้ว แต่รู้ไหมว่าอาม่าก็ดูหนูอยู่บนฟ้า ลองมองไปบนท้องฟ้าจะเห็นดวงดาว ดาวดวงนั้นอาจจะเป็นอาม่าของหนูก็ได้ที่เขามองอยู่ ฉะนั้นหนูอยู่ตรงนี้ก็อย่าร้องไห้มาก จงทำแต่ความดี มีความสุข แล้วอาม่าของหนูก็จะมีความสุขด้วย ในส่วนของการทำงานระหว่างอาม่ากับบิวกิ้นเจอกันครั้งแรกเป็นอย่างไร เขาก็นัดมาเจอกันวันแรก มาถึงปั๊บเขาก็ถามว่าอาม่ารู้จักบิวกิ้นไหม เราก็บอกไม่รู้จัก เพราะไม่รู้จักจริงๆ เราอายุขนาดนี้ก็ไม่ได้ดูเด็กๆ เล่น เขาก็หัวเราะกัน ขำกัน แล้วเขาก็ลองให้เราเล่นเกมส์ต่างๆ ด้วยกัน 2 คนกับบิวกิ้น ว่าเคมีเราจะไปกันได้ไหม พอจบแล้วผู้กำกับก็มาบอกว่าบิวกิ้นโอเค เคมีไปกันได้ ผู้กำกับและคุณครูก็นั่งหัวเราะกลิ้งตอนที่เราเล่นด้วยกัน คือมีความรู้สึกเหมือนยายกับหลานเล่นกัน เขาก็เลยให้เซ็นสัญญาเลย

ในเรื่องของได้เรียนรู้จากตัวละครของอาม่าเหม้งจู คืออย่างเรื่องพี่ชายเราก็รู้เพราะว่า ในตัวอาม่าชีวิตจริงๆ ไม่มีพี่ชาย แต่ในเรื่องอาม่ามีพี่ชาย ซึ่งในเรื่องเราก็คงคิดว่าเราคงไม่อยู่แล้ว ไปขอความช่วยเหลือแล้วพี่ชายได้รับทุกอย่างจากพ่อกับแม่มาหมด ซึ่งตอนเราเล็กๆเราไม่เคยได้ แต่เพียงเพื่อเราแค่เราจะไปขอบ้านให้เราอยู่หลังสุดท้าย แต่พี่ชายไม่ยอมแถมตัดขาดเราออก มันทำให้เรามีความรู้สึกว่า มันโหดร้าย ตอนแรกที่อ่านบทตอนที่เขาให้มา บทนี้นะ อาม่านั่งร้องไห้เอง ร้องเพราะว่า เราก็เป็นลูกคนนึงซึ่งมีพ่อแม่ด้วยกัน แล้วทำไมเขาแค่จะขอบ้านสักหลัง ซึ่งเขาได้เงินมาเยอะแยะมากมายมากกว่านั้นเยอะแยะที่เราขอทำไมไม่ให้แถมไล่เราออกจากบ้าน แล้วก็คำพูดที่ว่า อั๊วกับลื้อไม่ใช่นามสกุลเดียวกัน บทนี้ที่ทำให้สะเทือนใจ ซึ่งหัวใจของภาพยนตร์เรื่อง หลานม่า คือการจากลา การจากลามันเป็นธรรมชาติ มีเจอ มีจบ มีจาก ทุกคนก็ต้องเจอ จะเวลาไหนเมื่อไหร่เราต้องทำใจของเราพร้อมที่จะจากลาวันนั้น เดินมาถึงจะ 80 แล้ว ไม่เคยกลัวเลยคำว่าจะตาย ตื่นมาวันนี้เรายังอยู่ แต่วันนี้เราก็อาจจะไป เวลาไหนก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่เคยกลัวเลยเราพร้อมเสมอ

ถามว่าอาม่ามองอย่างไรเรื่องลูกจำเป็นต้องมาเลี้ยงดูแม่จนวันจากไหม จริงๆแล้วคนเป็นแม่ไม่ได้มีความหวังว่าฉันเลี้ยงเธอมาแล้วเธอต้องเลี้ยงฉันตอบ แต่ถ้าเขาเลี้ยงเราก็เป็นบุญของเขา ที่เขาทำให้กับพ่อแม่ แต่ว่าความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ไม่ใช่ ฉันเลี้ยงเธอมาแล้ว เธอต้องมาเลี้ยงดูแลฉันต่อ ไม่ใช่ อาม่ามีลูกสาว 3 คนค่ะ ถามว่าการเป็นแม่ที่เลี้ยงลูกทั้ง 3 สาวชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง คือเราแต่งงานตอนอายุ 20 กว่าๆ พอแต่งงานก็มีลูกเลย แล้วก็มีแม่ของเราและยายช่วยเลี้ยง ได้หนึ่งปีที่มีคนที่สอง เราก็เลี้ยงดูเขาอย่างดี รักเท่ากันเลี้ยงเท่ากัน แล้วก็มีคนที่สามก็เป็นผู้หญิงอีกติดกันเลย 3 คน เป็นทั้งแม่เป็นทั้งเพื่อนดูแลทุกอย่าง

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก amahtaew