เรียกได้ว่าทำเอาหลายคนตกใจหนักมา หลังจากที่นางเอกสาวชื่อดัง “มิ้นต์-ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง” ออกมาโพสต์ขอความช่วยเหลือว่า “มอส ราชัย” น้องชายแท้ๆถูกฝรั่งทำร้าย ด้วยการเตะเข้าที่ใบหน้า และหวั่นกลัวว่าเรื่องจะเงียบ รวมถึงหวั่นผู้กระทำบินออกนอกประเทศไปซะก่อน เธอจึงโพสต์ภาพจากกล้องวงจรปิด พร้อมกันเล่าเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านข้อความในอินสตาแกรมส่วนตัวนั้น

ล่าสุดสาวมิ้นต์กับ “ม่อน ธนัชชัย” ได้ออกมาเปิดใจกับรายการ “ห้องข่าวบันเทิง” ว่าเสียความรู้สึกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างมาก โดยทั้งคู่ได้เล่าว่า

หนุ่มม่อนได้เผยว่า “คือเหตุการณ์ที่เกิดนะครับก็คือว่า มีผู้พิการทางสื่อสารและได้ยินมาพักที่โรงแรมของเรา แล้วเขาก็มีเพื่อนคนนึงซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุมาด้วย ซึ่งจริงๆแล้วมีทั้งหมดประมาณ5-6คน แต่ว่าที่อยู่ในห้องมีแค่ 2 คน ซึ่งเขาอาจจะไปดื่มที่อื่นมาก่อน แล้วกลับมาที่ร้านอาหารของผมประมาณตี1:40นาทีกว่าๆ พอมาถึงที่นี่ผู้จัดการของร้านผมก็บอกว่าไม่ให้เข้าแล้ว เพราะว่าเขาดูเมามากแล้วเนื่องจากร้านกำลังจะปิดแล้วด้วย ก็เลยบอกว่าเข้าไม่ได้ ด้วยความประนีประนอม ตอนแรกเขาก็เหมือนยอม ก็โอเคเดี๋ยวให้น้องอีกคนพาไปซื้อที่เซเว่นนะ ถ้ายูซื้อได้ยูก็ซื้อ พอไปที่เซเว่นเขาก็ไม่ขายให้อยู่ดี เพราะด้วยเวลามันเกินลิมิตด้วย เขาก็เลยกลับมาที่นี่เพราะอยากได้เครื่องดื่มมากๆ จนผู้จัดการเคลียร์แล้วว่าโอเค แล้วก็บอกเขาไปว่า ยูขึ้นไปนอนดีกว่า จนผู้จัดการเห็นท่าว่ามันไม่ดีแล้วก็เลยโทรตามพี่มอสมา ซึ่งพี่มอสผู้ที่โดนทำร้ายคือหลับไปแล้ว พี่มอสก็ตื่นมาเพื่อมาดูความเรียบร้อย ซึ่งพอคนนั้นขึ้นไปนอน พี่มอสก็มา ผู้จัดการก็คิดว่าไม่มีอะไร ก็เลยขอตัวกลับก่อน ซึ่งเหตุการณ์ก่อนหน้า คือมันจะมีหลังร้านที่เชื่อมกันได้ที่เราล็อกไว้ คือรีเซฟชันของพี่มอสบอกว่าไม่ไหวแล้ว ก็เลยมาตามให้ผู้จัดการร้านผมไปช่วย ซึ่งฝรั่งคนนั้นที่เป็นรัสเชีย ก็พยายามจะบุกรุกเข้ามาหลังร้านเลยเพื่อที่จะมาเอาแอลกอฮอล์ ซึ่งเราก็บอกว่าไม่ได้เราไม่ขายให้ เขาก็มีท่าทางไม่พอใจ จนขึ้นไปนอนแล้วลงมาอีกรอบ อันนี้คือเป็นวิกฤติแรกที่มันเกิดขึ้นคือเริ่มคุ้มคลั่งก็จะต่อยทุกคนทีเดินเข้ามา ไม่ว่าใครที่เดินเข้ามาก็ตามที่เดินมากับผู้หญิง เขาก็เหมือนทำท่าจะเดินไปต่อยกับผู้ชาย แล้วจะดึงผู้หญิงออกมา ซึ่งพอพี่มอสเขามาถึงตอนนั้นก็จะเป็นคนเข้ามากันเหตุการณ์ แล้วให้แขกผู้เข้าพักคนอื่นเดินเข้าลิฟต์ไปและหลังจากนั้นก็คือเขาก็มีอาการคุ้มคลั่ง พี่มอสก็เลยพยายามขอไหว้ ใช้ภาษามือขอให้ออกไปข้างนอกเถอะเพราะว่าเราสื่อสารด้วยการพูดกับเขาไม่ได้ ก้เลยทำทุกอย่างให้มันดูแบบใจเย็นๆ ซึ่งพี่มอสจะทำแบบนั้นตลอดเวลาเลย จนได้มีการไปที่ร้านข้างๆ เหมือนพี่มอสพาเขาไปเพื่อที่ลูกค้าจะได้เดินสะดวกลูกค้าจะได้ไม่เกิดปัญหาด้วย แล้วด้วยเรามีน้องคนนึงที่ร้านซึ่งเป็นผู้หญิงแล้วเหมือนเขาพยายามจะจับน้องผู้หญิง เขาก็พยายามบังไว้ แล้วพอพี่มอสเดินมาเขาก็จะต่อย แล้วพอพี่มอสเดินห่างออกไป ก็คือไม่เป็นการปลอดภัยกับน้องผู้หญิง เขาเราไม่รู้ว่าด้วยอะไรแต่แบบเวลาเขาทำเขาก็จะพยายามกั้นและชี้ทำท่าทางบอกว่ามีมีดนะ แล้วเขาเหมือนจะต่อย”

“โดยเวลานั้นเหมือนจะเกิดระยะนึงประมาณเต็มที่1ชั่วโมง เราเริ่มโทรหาตำรวจตอนที่เขาขึ้นไปนอนแล้วเขาลงมาใหม่ อันนี้เริ่มโทรหาตำรวจแล้ว เพื่อแจ้งความว่ามีเหตุเกิดขึ้น แล้วกว่าตำรวจจะมาจากสน.ห้วยขวางมาที่บ้านเรา เราก็ตีเวลาว่าสัก10นาที ให้20นาทีด้วย ซึ่งเวลาที่ตำรวจมาก็ยังประมาณสัก40นาที ที่มาถึงนะ แล้วประมาณ30นาที เราาเห็นเหตุการณ์ว่ามันไม่ได้แล้ว เราก็เลยโทรย้ำอีกรอบ ว่าพี่ตำรวจอยู่ไหนแล้ว มันเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาก็พูดกลับมาว่า ตรงนั้นไม่มีผู้ชายอยู่หรอน้อง ให้เขาช่วยไปก่อนสิ ก็คือประมาณนั้นที่ได้รับจากตำรวจ ซึ่งพอมาถึงก็มากัน2คน ซึ่งไม่สามารถที่จะจับคนนี้ได้ เพราะเขาตัวค่อนข้างใหญ่และตำรวจก็อาจจะตัวเล็กกว่า แล้วก็ใช้เวลาคุยอีกประมาณนึง เกือบชั่วโมงเลยถ้าดูจากภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งตำรวจบอกให้พี่ชายเราไปแจ้งความที่สน.ก่อน พี่ชายเราก็ทำตามกระบวนการ เขาก็ขับมอเตอร์ไซด์ไปในยามวิกาล แล้วคือทุกคนไม่รู้เรื่องอะไรกันเลย เรามารู้ในเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว เขาไปแจ้งความพอแจ้งเสร็จแล้ว พี่เขาก็บอกกับตำรวจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วพี่ชายผมก็ถามตำรวจว่า ผมมีกล้องวงจรปิดเต็มร้านเลย พี่อยากดูภาพไหมว่าเป็นแบบไหน สิ่งที่ได้กับมาจากตำรวจคือ ไม่ต้องหรอกน้อง ไม่จำเป็น เขาเป็นฝรั่งมันคุยยาก เดี๋ยวไกล่เกลี่ยกันเอา ซึ่งพี่ชายเราเป็นผู้ถูกกระทำไง เป็นใครๆจะยอม จนเหตุการณ์ในสน.มันอยู่มาสักพักแล้ว เขาก็เลยให้แบ่งฝั่งจนเขาคุมตัวฝรั่งคนนี้ไป”

มิ้นต์ เผยว่า “ร้านม่อนกับร้านมอสอยู่ติดกัน ก็เลยมีผู้จัดการ2คนก็คือผู้จัดการร้านน้องม่อนและก็คนที่อยู่เฝ้าร้านกะดึกของน้องมอส ซึ่งน้องคนที่เฝ้ากะดึกก็ค่อนข้างหวาดระแวง เขาก็เลยรีบโทรแจ้งมอส ซึ่งตอนที่เขาจะไปเรียกแท็กซี่ ที่จะพาน้องผู้หญิงหนีไปด้วย ซึ่งพี่มอสไม่ไว้ใจว่าจะเอาน้องไปไหน บวกกับว่าเรามีกล้องวงจรปิดที่เป็นนหลักฐานข้างในร้านทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงโวนบริเวณที่เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น เราก็มีคลิปหมดทุกอย่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั้งมวลเขามีอาการค่อนข้างคุ้มคลั่งแล้ว ก็เริ่มโทรหาตำรวจแล้ว เพื่อแจ้งความว่ามีเหตุเกิดขึ้น ซึ่งเวลาตี2และเกิดการทะเลาะวิวาทมิ้นว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติ มันเป็นเรื่องที่สำคัญ แล้วคนที่ถูกทำร้ายร่างกายแล้วมันเป็นเหตุการณ์ค่อนข้างหนัก ซึ่งพอมาถึงก็มากัน2คน ซึ่งไม่สามารถที่จะจับคนนี้ได้ เพราะเขาตัวค่อนข้างใหญ่และตำรวจก็อาจจะตัวเล็กกว่า และมาด้วยรถมอเตอร์ไซด์ ก็เลยนำเขามาที่โรงพักไม่ได้ ก้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราก้เลยรู้สึกว่าการทำร้ายร่างกาย มันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเกิดขึ้นกับใครก็แล้วแต่ คือมิ้นทราบข้อกฎหมายทุกอย่างต้องเป็นตามกระบวนการ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่เรามีข้อสงสัยคือ 1.ทำไมถึงไม่ตรวจปัสสาวะ 2.คือเราไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน คือกว่ามิ้นจะตัดสินใจโพสต์ก็คือผ่านไปประมาณ3วัน จนแบบเราไม่ได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่แค่แจ้งมาว่า ที่มอสให้ปากคำเพิ่มเติมในวันรุ่งขึ้น เขาจะออกนอกประเทศในวันที่3 แล้วซึ่งรอผลนิติวิทยา ซึ่งคุณหมอที่จะมาในโรงพักก็คือวันที่2ตุลาคม ซึ่งเราก็แจ้งว่ามันจะค่อนข้างล่าช้าไปหรือเปล่า ถ้าเขาออกไปแล้วจะทำอย่างไร ตำรวจแจ้งกลับมาว่า ไม่เป็นไรให้เขาออกไปก่อน แล้วเดี๋ยวรอเขากลับเข้ามาแล้วค่อยดำเนินคดีทางกฎหมายอีกที ซึ่งเราก็ตอบไปว่าแล้วถ้าเขาไม่กลับเข้ามาเลยละ เพราะนี่ไม่ใช่เคสแรกที่เกิดขึ้นกับคนไทย ที่มีชาวต่างชาติทำร้ายคนไทยแล้วถูกปล่อยไป เพราะเราไม่อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก คือมิ้นต์รู้สึกว่าเราไม่เคยรู้ข้อกฎหมายพวกนี้ แต่พอเรามาเจอเองกับตัว เราถึงรู้ว่ามันมีการล่าช้าอย่างไร เหตุการณ์มันเป็นอย่างไร คือไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก กับใครก็แล้วแต่”

ม่อน ได้เผยว่า “จนพอไปถึงโรงพัก มันเป็นภาพที่นั่งอยู่กัน2คน พี่มอสเล่าให้เราฟังนะว่า ตำรวจออกไปข้างนอกหมดเลยแล้วทิ้งเขาไว้คนเดียว แล้วฝรั่งคนนั้นก็เดินมายืนค่อมหัวแต่ว่าไม่ได้ทำอะไร ผมเลยคิดว่า อยู่สน.แล้วมันสามารถเดินมาใกล้ตัวขนาดนี้ ถ้าคนจะโดนต่อยอีกก็คงโดนฟรีอีกสักรอบหนึ่งมั้ง คือเราไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใครมาจากไหน มีแค่ชื่อของเขา ซึ่งเขาไม่มีพาสปอร์ตติดตัว เราก็ยังไม่ได้พาสปอร์ตเขา แต่ว่าสามารถที่จะปล่อยตัวเขาออกมาในที่สาธารณะได้ เราเลยวอรี่ตรงนี้ว่า ถ้าสมมุติปล่อยตัวมา ณ เวลานั้นอาจจะเคลียร์กันเสร็จสักประมาณตี5 ก็อาจจะมีการสร่างเมา แต่ว่าพอปล่อยตัวออกมาแล้ว แล้วเราจะตามจับเขาได้อย่างไรบ้าง เราก็เลยสืบหากันเองว่าคนๆนี้เป็นใครในเช้าวันรุ่งขึ้น พอเรารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นตำรวจทำอะไรอยู่ คือไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก กับใครก็แล้วแต่ คือมันเป็นหน้าที่ของคนที่เป็นตำรวจต้องทำ คือผมรู้สึกว่า คนเป็นตำรวจต้องดูแลปกป้องประชาชน แต่ว่าผมรู้สึกว่ามันหละหลวมเกินไปสำหรับตัวผม เพราะว่าพอเราดูจากภาพเอง หรือว่าคุณอยากได้พยาน เรามีพยาน3-4ปากเลย รวมถึงภาพที่ทุกคนจะได้เห็นเลยว่าแบบมันชัดเจนขนาดไหน ซึ่งทำไมคุณตำรวจถึงไม่อยากได้ภาพ แล้วพี่ชายเราคือพยายามไม่ต่อสู้กลับและมีแค่ภาพที่ขอร้องให้หยุด ซึ่งเรารู้สึกคับแค้นใจคือพี่ชายเรามีการประนีประนอม แล้วทำไมคุณถึงไม่เย็นลง คือถ้าเป็นเราเราก็คงไม่ยอม ถ้าเขาทำเราแบบนี้เราก็คงทำกลับสักหน่อยนึงเหมือนกันแหละ แต่คือความรุนแรงมันไม่ใช่ทางออกอยู่แล้วผมเข้าใจ แต่ก็อย่างที่บอกผมเข้าใจในกระบวนการทางกฎหมายนะ แต่มันก็จะมีแบบที่เราคุยกับตำรวจมาว่า เหตุผลทั้งหมดที่เราพูดไปกับอีกประเด็นนึงการตรวจหาหมออีก และในเรื่องของการตามหาล่ามเพราะเขาเป็นผู้พิการทางสื่อสารอีก เราเลยบอกว่างั้นเราเสนอตัวเองละกัน โอเคพี่ พี่บอกล่าม2วันใช่ไหม เดี๋ยวผมหาให้ในวันนี้เลย ซึ่งจริงๆตอนแรกเราก็ไม่ได้อยากออกมาโพสต์ให้มันเป็นข่าวหรอก มันไม่ใช่ประเด้นหลักของเราอยู่แล้ว แต่ว่าสิ่งที่เราต้องทำ เพราะว่าเราแจ้งทางตำรวจไปแล้ว เผื่อใครสงสัยว่าทำไมไม่แจ้งความ คือเราแจ้งแล้วตั้งแต่ ณ เวลานั้นแล้วครับ คือเราทำทุกอย่างเพื่อคนๆนึงในครอบครัวจะช่วยเหลือกันได้ คือเราเป็นผู้ถูกกระทำด้วยรวมถึงเราพูดแทนคนไทยทุกคน ที่อาจจะเจอเหตุการณ์แบบนี้ แล้วเราก็เป็นประชาชนคนนึง เราก็อยากจะเดินไปหาตำรวจในมุมที่เราภูมิใจแบบว่าคุณจะปกป้องเราได้”

มิ้นต์ เผยว่า “อีกว่าเขาก็มีเครื่องช่วยฟัง แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนรัสเชีย แต่ว่าประโยคพวกนี้มันเป็นประโยคที่ปกติที่ทุกคนทราบกันอยู่แล้ว ตั้งแต่ที่มอสโดนเขาก็ถูกเตะเข้าหลังหู แต่พอเราถาม เขาก็จะบอกว่าไม่เป็นไรหรอกไม่เจ็บ เจ็บนิดหน่อย แต่ภาพที่เราเห็น และแผลที่เห็น คือเขาคงพูดแบบไม่ให้เราเป็นห่วง แต่พอเราเห็นภาพการโดนทำร้ายร่างกายแล้วมันค่อนข้างหนัก คือมันไม่ได้มีอะไรหัก แต่ว่ามันก็น่าจะเจ็บอยู่คือน้องเขาก็พูดไม่ให้เราเป็นห่วง แต่ว่าเราก็พยายามไม่ไปพูดเรื่องนี้กับเขา เพราะว่ามิ้นต์รู้สึกว่าการทำร้ายร่างกาย ไม่ใช่เรื่องปกติและการที่ไปพูดไปถาม บางทีสภาพจิตใจเขายังไม่พร้อม ก็ไม่อยากเอาแผลไปเป็นแรงกดทับ ซึ่งแผลแต่ละคนมันไม่เท่ากัน การรักษามันไม่เหมือนกัน ก็เลยยังไม่อยากพูดเรื่องนี้กับเขา เราเป็นครอบครัว เราเป็นพี่สาวสื่งที่ทำได้กับเขาก็คือ การที่เราจะช่วยน้องให้ได้มากที่สุด เพราะว่าทั้งครอบครัวไม่โอเคเลยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ก็น้ำตาตกพอเห็นลูกถูกทำร้ายร่างกายก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครเลย อะไรที่เราสามารถทำได้เอง เราก็จะพยายามหยิบยื่นทุกอย่างเพื่อให้กระบวนการมันเร็วขึ้นก่อนที่เขาจะออกนอกประเทศ คืออีกอย่างนึงเราก็ไม่ได้ต้องการระบบอะไรที่มันรวดเร็วหรือทันใจ เราเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่สำหรับครอบครัวคือเป็นความปลอดภัยแล้ว คือตอนนี้ก็ไม่ได้มีอะไรมาคอนเฟิร์มให้เราเลยว่า มันจะไปทางไหน คือต้องรอให้เขาออกนอกประเทศไปหรอหรืออย่างไร อะไรจะการันตีได้ตรงนี้ ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ในขั้นตอนไหนเราก็ไม่ได้ทราบอะไรเลย”

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก mint_chalida