จากกรณีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย จนมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก อีกทั้งทรัพย์สินของประชาชนและเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เป็นสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายในการดำรงชีวิต เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก จึงทำให้มีหลายหน่วยงานระดมกำลังและสิ่งของบรรเทาทุกข์เข้าช่วยเหลือ ซึ่งปัจจุบันถึงแม้ว่าระดับน้ำจะลดลงไปแล้ว แต่บ้านเรือน และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ต่างก็ประสบกับปัญหาดินโคลนที่ไหลมากับน้ำ ขณะเดียวกันจิตอาสาต่างๆ ยังคงเร่งระดมช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน ตามที่สื่อได้เผยแพร่ออกไป

เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 67 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีผู้ใช้เพจเฟซบุ๊ก “เพจเฟซบุ๊ก GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)” ได้โพสต์ข้อความอธิบายที่มาของ “ดินโคลน” จำนวนมาก ในเหตุการณ์น้ำท่วมแม่สาย ว่าแท้จริงแล้วมาจากไหนกันแน่

น้ำท่วมแม่สาย โคลนจำนวนมากมาจากไหน
ฝนที่ตกหนักมากกว่าปกติในเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบนของประเทศตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีนี้ ทำให้ดินตามภูเขาค่อยๆ สะสมน้ำมาเรื่อยๆ จนกระทั้งวันที่ 8 กันยายน 2567 เกิดฝนตกหนักติดต่อกันต่อเนื่องเหนือพื้นที่รับน้ำของแม่น้ำสายและแม่น้ำกก ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสูงขึ้น และไหลล้นตลิ่งเข้าท่วมหลายพื้นที่ของจังหวัดเชียงราย

โดยเฉพาะที่อำเภอแม่สาย ที่ก่อนหน้านี้เกิดน้ำท่วมในตัวเมืองแล้ว 6 ครั้ง ในปี 2567 และครั้งล่าสุดช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีน้ำป่าไหลทะลักลงตามแม่น้ำสาย ทำให้บ้านเรือนร้านค้า ตลาดสด พื้นที่เกษตรที่ติดลำน้ำสาย ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ปัจจุบันแม้น้ำท่วมผ่านไปแล้ว แต่ชาวบ้านบางพื้นที่ยังเข้าบ้านไม่ได้เพราะปัญหาตะกอนดินโคลนทับทมจำนวนมากที่น้ำท่วมได้ทิ้งไว้

อีกทั้ง มีรายงานว่าน้ำที่ไหลลงมาตามลำน้ำสายมีทั้งเศษไม้ ขอนไม้ สิ่งปฏิกูล ไหลลงมาด้วย แต่ทว่าเมื่อน้ำลดลงปรากฏตะกอนโคลนและดินเป็นจำนวนมากตกค้างอยู่ตามสถานที่ต่างๆ บ้านเรือนของประชาชน ใกล้กับแม่น้ำสายโดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่บริเวณเชิงเขา ที่บางจุดมีดินโคลนทับถมสูงกว่า 2 เมตร

ภูมิประเทศของเมืองแม่สาย
หากพิจารณาในเชิงภูมิศาสตร์ ตัวเมืองแม่สายตั้งอยู่ติดกับเชิงเขา และติดกับแม่น้ำที่ไหลมาจากเขตภูเขา ในขณะเดียวกันการศึกษาด้านธรณีวิทยาพบว่า พื้นที่บริเวณตัวเมืองเเม่สาย โดยเฉพาะสองฝั่งแม่น้ำสายที่ใกล้กับด่านชายแดนไทย-เมียนมา เป็นพื้นที่ที่มีดินตะกอนไหลทับถมสะสมมาตั้งแต่อดีต ด้วยที่ตั้งของเมืองและลักษณะภูมิประเทศ ทำให้น้ำที่หลากลงมาจากต้นน้ำของแม่น้ำสาย มีความเชี่ยวและแรงโดยธรรมชาติ

โดยแม่น้ำสายทอดตัวในเขตภูเขาที่เป็นพื้นรับน้ำลงสู่แม่น้ำ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตประเทศเมียนมาประมาณ 80% และอีก 20% เท่านั้นที่ทอดยาวอยู่ในพื้นราบลุ่มในเขตแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ในสภาวะปกติ ลักษณภูมิประเทศแบบนี้มักจะนำความอุดมสมบูรณ์มาสู่พื้นที่ ด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่ปะปนมากับตะกอนในแม่น้ำ แต่ทว่าบริบทการใช้ชีวิตของมนุษย์ในทุกวันนี้เปลี่ยนไปจากเดิมมาก การสำรวจโดยนักวิชาการไทยพบว่า ปัจจุบันพื้นที่ต้นน้ำแม่สายได้เปลี่ยนจากป่ากลายเป็นพื้นที่เกษตรกรรม รวมถึงเหมืองแร่จำนวนหลายจุดด้วยกัน ทำให้ศักยภาพของป่าไม้การชะลอและกักเก็บน้ำลดลงไปด้วย

เปิดหลักฐานบนภาพดาวเทียม
หลักฐานปรากฏชัดเจนด้วยภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียดสูง บันทึกภาพเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ใกล้ชายแดนประเทศเมียนมา ในเขตอำเภอแม่สาย ซึ่งเป็นแค่ส่วนเล็กๆของพื้นที่รับน้ำทั้งหมดของแม่น้ำสาย พบดินถล่มหลายจุดปรากฏเป็นสีน้ำตาลแดง ตัดกับสีเขียวของป่าไม้หรือแปลงเกษตรอย่างเห็นได้ชัด แต่ละร่องรอยมีความกว้างประมาณ 20-30 เมตร หรือเทียบเท่ากับถนนขนาด 4 เลน และมีความยาวหลายสิบเมตรถึงหลายร้อยเมตร แตกต่างกันไปตามลักษณะพื้นที่ ซึ่งภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงหนึ่งในสาเหตุของตะกอนดินโคลนจำนวนมากที่ไหลทับถมในพื้นที่ด้านล่าง

ถอดบทเรียน
ทุกๆ ความสูญเสียมักก่อให้เกิดประสบการณ์และการเรียนรู้ เพื่อการอยู่รอด ภาพถ่ายจากดาวเทียมเป็นเพียงเครื่องมือ ที่ทำให้เกิดความเข้าใจภาพรวม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำไปปรับใช้ ต่อยอดสู่การจัดการที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นข้อมูลภูมิสารสนเทศยังทำให้รู้ว่ายังมีอีกหลายหมู่บ้านในประเทศไทย ที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นที่แม่สาย และในอดีตก็เคยเกิดขึ้นกับประเทศไทยมาแล้วหลายครั้ง

ดังนั้นการตระหนักรับรู้ความเสี่ยงในพื้นที่ของตน และปรับตัวตามบริบทของพื้นที่นั้นๆ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ ภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจากน้ำท่วมในจังหวัดเชียงราย ที่กำลังจะผ่านพ้นไป ถูกแทนที่ด้วยภาพแห่งความร่วมมือและน้ำใจจากทั่วทุกสารทิศกำลังไหลมาแทนที่ เพื่อส่งต่อกำลังใจให้พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงรายและพื้นที่อื่นๆ ทางทีมงานก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนในพื้นที่ฟื้นคืนกลับมาได้โดยเร็ว

ขอบคุณข้อมูล : เพจเฟซบุ๊ก GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)