ณ เวลานี้ การตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมกำลังทวีความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมของผู้บริโภคเองก็ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด หนึ่งในนั้นคือการให้ความสำคัญกับการเลือกรับประทานอาหารที่ร้านอาหารที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ผู้คนหันมาใส่ใจที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการบริโภคอาหารมากขึ้น ไม่เพียงแต่เพื่อสุขภาพของตนเองเท่านั้น แต่ยังเพื่ออนาคตของโลกใบนี้ด้วย

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะพวกเขาตระหนักดีว่าการเลือกซื้อสินค้าและบริการ รวมถึงการเลือกร้านอาหาร ก็สามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมได้เช่นกัน ผู้บริโภคกลุ่มนี้จึงพร้อมที่จะสนับสนุน ‘Green Restaurant’ หรือร้านอาหารที่ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และมีส่วนร่วมในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ดังที่ล่าสุด ‘บาร์บีคิวพลาซ่า’ ได้เดินหน้าสานต่อภารกิจส่งมอบความสุขผ่านมื้ออาหารเพื่อความยั่งยืน ด้วยแนวคิด ‘Triple Bottom Line’ มุ่งสู่การเป็นธุรกิจที่ดีต่อสังคมและโลก ควบคู่ไปกับการเสริมสร้างศักยภาพเกษตรกรไทยอย่างยั่งยืน พร้อมตั้งเป้าเพิ่มศักยภาพโมเดล ‘Green Restaurant’ เน้นการสร้างธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วย แนวทางการจัดการขยะให้กลายเป็นศูนย์’ (Zero Waste to Landfill) ตามหลักการ 4Rs (Reduce, Reuse, Recycle, Re-think) เพื่อส่งมอบ Green Experience ให้กับลูกค้าตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำอย่างแท้จริง ซึ่งปัจจุบันได้ขยายขอบเขตการดำเนินงานไปแล้ว 11 สาขา

จรูญโรจน์ เทพที ประธานบริหารสายงาน-ซัพพลายเซน บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวว่าในฐานะที่เป็นผู้รับผิดชอบด้านการจัดจ้างจัดซื้อ รวมถึงมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องความยั่งยืนให้แก่องค์กร ได้ตระหนักถึงความสำคัญการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการจัดการขยะในธุรกิจอาหาร จึงเล็งเห็นว่าการนำแนวคิด Triple Bottom Line มาใช้ในสาขาร้านอาหาร Green Store ของ บาร์บีคิวพลาซ่า จะสามารถผลักดันเรื่องของความยั่งยืน ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาธุรกิจและขับเคลื่อนองค์กรให้สามารถบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่าลง 30% ภายในปี 2030 รวมถึงเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายใน (Net Zero) ภายในปี 2050 และการลดขยะที่นำไปฝังกลบจากกระบวนการผลิตลง 10%

สำหรับแนวคิดTriple Bottom Line’ ที่ได้กล่าวไปนั้น ประกอบด้วย 1. People การบริหารธุรกิจที่ให้ ‘คน’ มาเป็นอันดับหนึ่ง ด้วยแนวคิดองค์กรแห่งความสุขผ่านกลยุทธ์ ‘เก่ง ดี สุข’ เพื่อสร้างสรรค์วงจรแห่งความสุขที่ยั่งยืน ผ่านการพัฒนาศักยภาพ ความสามารถ ทักษะของบุคลากรในองค์กรให้เป็นคนมีคุณภาพของสังคม รวมถึงการสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษา ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเปิดศูนย์การเรียนฟู้ดแพชชั่น สำหรับนักเรียนระดับ ปวช. และ การพัฒนาหลักสูตรสุขาภิบาลอาหารและการจัดการร้านอาหาร ผ่านการเปิดศูนย์อบรมฟู้ดแพชชั่นเพื่อนำเสนอหลักสูตรดังกล่าว โดยใช้ประสบการณ์จากบาร์บีคิวพลาซ่า เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร และแบ่งปันความรู้ให้กับบริษัทอื่นๆ และบุคคลที่ต้องการพัฒนาตนเองในธุรกิจร้านอาหาร

2. Planet การมุ่งมั่นในการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยให้ความสำคัญกับการลดก๊าซเรือนกระจกตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ด้วยแนวคิดจากฟาร์มถึงโต๊ะอาหาร (From Farm to Table) ซึ่งเป็นการสร้างคุณค่าที่เชื่อมโยงระหว่างเกษตรกร ร้านอาหาร และผู้บริโภค ภายใต้การส่งเสริมความยั่งยืนในทุกขั้นตอน อาทิ การสั่งซื้อกะหล่ำปลีจากวิสาหกิจชุมชน 3 แห่ง ได้แก่ 1. อ.พบพระ จ.ตาก 2. อ.นาป่าแปก จ.แม่ฮ่องสอน และ 3. อ.หางดง จ.เชียงใหม่ กว่า 2 ล้านกิโลกรัม ต่อปี โดยมีการวางแผนปริมาณซื้อล่วงหน้า เพื่อให้เกษตรวางแผนการปลูกได้อย่างเหมาะสม ทั้งยังส่งเสริมให้ปลูกกะหล่ำปลีตามมาตรฐาน GAP ที่ลดปุ๋ยเคมีลง 50% รวมถึงมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการติดตั้งโซล่าเซลล์ที่สำนักงานและโรงงาน ซึ่งสามารถลดพลังงานไฟฟ้าในกระบวนการได้ถึง 30% และลดก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี นอกจากนี้ ยังใช้แนวคิดการบริหารจัดการขยะด้วยแนวทางการจัดการขยะให้กลายเป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill) เพื่อลดปริมาณขยะที่ถูกฝังกลบ โดยนำเศษเนื้อตัดแต่ง (Food Loss) มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อเพิ่มคุณค่าของวัตถุดิบเหลือใช้ อาทิ นำเศษเนื้อตัดแต่งไปทำเป็นหมูปิ้งและส่งขายให้กับพันธมิตร อย่าง ‘บางจาก’  ซึ่งกระบวนการดังกล่าว สามารถลดการนำเศษเนื้อตัดแต่งไปทิ้งได้ถึง 1.8 ตัน หรือคิดเป็น 918 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

ในส่วนงานด้านการบริการ ภายใต้แนวคิด Green Operation dog ‘Small But Meaningful’ ยังมีการออกแบบในการเสิร์ฟกะหล่ำปลีให้กับลูกค้า แบบ 125 / 80 / 80 กรัม เพื่อลดกะหล่ำปลีเหลือทิ้งจากการรับประทานของลูกค้า ซึ่งลดลงได้ 10% ต่อปี หรือ 2 แสน กิโลกรัมต่อปี หรือเท่ากับลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 82 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี, ระบบแยกขยะจากโต๊ะอาหารลูกค้าด้วยม้าเหล็ก ได้มีการแยกประเภท Food Waste และ Recycle Waste พร้อมชั่งน้ำหนัก จดบันทึก โดยทำงานร่วมกับ ‘Landlord’ และ กทม. ในการจัดการขยะปลายทางไม่ฝังกลบ ซึ่งมีปริมาณขยะอาหารอยู่ที่ 30 กิโลกรัมต่อวัน ต่อสาขา แบ่งเป็นจากร้าน 30% และลูกค้า 70% รวมเป็น 930 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี ขณะที่ขยะรีไซเคิลอยู่ที่ 3 กิโลกรัมต่อวันต่อสาขา รวมเป็น 533 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว, การออกแบบร้านด้วยวัสดุอัพไซคลิง ไม่ว่าจะเป็น เปลือกมะนาว ใยสัปปะรด กากมะพร้าว ขวดพลาสติก ไปจนถึงเม็ดกระดุมที่ไม่ใช้แล้ว, การใช้เทคโนโลยีประหยัดพลังงานด้วย ioT (Internet of Things), การใช้น้ำยาทำความสะอาดจากวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ทางชีวภาพ (Bio-Degradable) สามารถลดการใช้น้ำได้ถึง 50% ตลอดจนมีการเชิญชวนให้ลูกค้าปิดเตาหลังทานจบลดโลกร้อน ซึ่งสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 246 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี รวมถึงการให้นโยบายกับพนักงานในร้านปรับเปลี่ยนเวลาการเปิด-ปิดไฟฟ้า วันละ 1 ชั่วโมง

และ 3. Profit การสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ด้วยการนำเสนอตัวเลือกอาหารที่อร่อยและดีต่อสุขภาพผ่านห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน ทั้งยังมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้าผ่านนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างสร้างสรรค์ เช่น ระบบ ‘GON ORDER-TO-PAY’ คือการสั่ง-จ่าย-จบ ทำเองได้ในโทรศัพท์มือถือ เพื่อลดการใช้กระดาษและให้ทุกมื้ออาหารเป็นการเฉลิมฉลองความยั่งยืน

“ในปีนี้เรายังคงเดินหน้าทรานฟอร์มองค์กรสู่การขับเคลื่อนธุรกิจตามกรอบ ESG ที่คำนึงถึงการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน รวมถึงธรรมาภิบาลที่ดี เน้นการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญ โดยภายในปี 2030 เราได้มีการวางแนวทางสู่ความยั่งยืนขององค์กรใน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกใน Scope 1 และ 2 ให้ลดลง 30% ลดขยะฝังกลบในกระบวนการลง 10% รวมถึงการพัฒนาโมเดล Green Restaurant ที่มุ่งสร้างธุรกิจอาหารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้วัตถุดิบที่ยั่งยืนและลดการใช้ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม, ด้านสังคม คือการสร้างคนที่มีความสามารถ เป็นคนดี และมีความสุขมากกว่า 30,000 คน เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับทุกคน และด้านธรรมาภิบาล เรามุ่งสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มผ่านนวัตกรรมและปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเป็นธรรม” จรูญโรจน์ กล่าวต่อ

ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจตามกรอบ ESG ส่งผลให้ร้านบาร์บีคิวพลาซ่าได้รับตราสัญลักษณ์ G-Green ระดับดีเยี่ยม ประจำปี 2566 ในประเภทการบริการร้านอาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Restaurant) โดยสาขาที่ได้รับรางวัลดังกล่าว คือ สาขาเซ็นทรัล วิลเลจ ขณะเดียวกัน ในปี 2567 นี้ ได้มีการขยายโมเดล Green Restarant ไปอีก 10 สาขา ได้แก่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว, เซ็นทรัล รามอินทรา, เซ็นทรัล บางนา, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล พระราม 3, เซ็นทรัล บางนา, เซ็นทรัล พระราม 2, เซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัล พระราม 9 และ เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ ประกอบกับการมีแผนที่จะขยายไปอีก 11 สาขาในปี 2568 และตั้งเป้าจะขยายให้ครบทั้ง 150 สาขาทั่วประเทศในอนาคต

“เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ จะสามารถสร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ในระยะยาว และนี่คือเหตุผลที่เรามุ่งมั่นให้ทุกขั้นตอนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งจะนำพาองค์กรสู่ความมั่นคง พร้อมเติบโตร่วมกับชุมชนและโลกใบนี้ไปด้วยกันอย่างแท้จริง” จรูญโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย