เริ่มทยอยจ่ายเป็นเงินสดเฟสแรก “กลุ่มเปราะบาง” ที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและบัตรคนพิการ จำนวนราว 14.5 ล้านคน ใช้เงินงบประมาณจำนวน 1.4 แสนล้านบาท ตามเป้าหมายของรัฐบาลต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจตามความคาดหวังว่าจะเกิดผลลัพธ์ต่อเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นวงกว้าง  

ท่ามกลางเสียงเรียกร้องจากประชาชนอีกกลุ่มว่าเฟสสองจะได้หรือไม่ เพราะไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลว่าเฟสต่อไปจนถึงนาทีนี้จะเป็นเมื่อไหร่ แจกหรือไม่ ยังไม่มีคำตอบ แต่ยืนยันออกมาแล้วไม่มีแจกเฟสสองในปีนี้แน่นอน ซึ่งหากประเมินสถานการณ์โอกาสเกิด ยังลูกผีลูกคน หากฟังคำแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐบาลดีๆ จะระบุชัดเจนว่า จะมีการนำงบประมาณไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเร่งด่วนก่อน

งานนี้สร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง เป็นการทำลายความหวังในยุคเศรษฐกิจฝืดเคืองในความไม่ชัดเจนของรัฐบาล ขณะที่ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แบ่งรับแบ่งสู้ว่า “เฟสที่สองและต่อๆ ไป ขอให้กระทรวงการคลังเป็นคนให้ในรายละเอียด” สวนทางกับ “ขุนคลัง” พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ออกมายอมรับตรงๆก่อนหน้านี้ว่า “เฟสสองต้องขอดูก่อนจะได้ไตรมาสไหน  จะแบ่งจ่ายอย่างไรดูหลายปัจจัยความพร้อมทุก ๆ อย่าง และความพร้อมของช่องทางการจ่ายด้วย

เมื่อประเมินและพิจารณาคำพูดและความเป็นจริงแล้ว คงพอมองภาพออกว่าคงมีการแจกเงินหมื่นเพียงแค่เฟสแรกเฟสเดียวเท่านั้นให้กับ “กลุ่มเปราะบาง” ส่วนกลุ่มอื่นๆ ที่ลงทะเบียนเอาไว้จำนวนกว่า 35 ล้านคน โอกาสที่จะได้รับไม่ว่าจะเป็นเงินสด หรือแบบดิจิทัลวอลเล็ตแทบจะไม่มี เพราะองค์ประกอบงบประมาณที่มีอยู่ในมือของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นงบรายจ่ายเพิ่มเติมปี 68  ที่มีอยู่ราว 1.8 แสนล้านบาท ก็คงไม่เพียงพอกับจำนวนคนที่ลงทะเบียนไว้กว่า 35 ล้านคน

เอาเป็นว่า “รัฐบาลมาดามแพทองธาร”  หัวหมุนเริ่มต้นมาทำงานได้ไม่ทันไร มีแต่เรื่องให้เจ็บตัวพุ่งใส่ตลอด ต้องแก้ไขปวดหัวไปหมด ไหนจะต้องตาลีตาเหลือกหาทางหมุนเงินทุกวิธี มาใช้ดำเนินโครงการให้เพียงพอ แต่จู่ๆก็มีปัจจัยภายนอกแทรก เมื่อธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ประกาศหั่นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงลง 0.5 เปอร์เซ็นต์ และมีแนวโน้มจะลดอีกให้ครบ 1 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ ประเทศไทยได้รับเอฟเฟกต์ทั้งทางบวกและทางลบ ไม่ว่าจะค่าเงิน เงินไหลเข้า เงินเฟ้อ ตลาดหุ้นตลาดทุน ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะการค้าระหว่างประเทศ ส่งออกที่เป็นเครื่องยนต์หลักเศรษฐกิจไทย

เศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้านสำคัญ ดังนั้นหากบอกว่า นโยบาย “ดิจิทัล วอลเล็ต” ของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกำลังใกล้ถึงทางตันและจนมุม ก็คงไม่ผิดนัก เพราะสุดท้ายเสียงทักท้วงและคัดค้านจำนวนมากว่าได้ไม่คุ้มเสีย สร้างหนี้ ไม่ได้เพิ่มพายุหมุนทางเศรษฐกิจอย่างที่คาดหวังเอาไว้รัฐบาลคงหนีตายเอาดาบหน้าในเฟสสอง หนทางออกเดียวคือ “นายกฯอิ๊งค์” ต้องออกมายอมรับกับประชาชนหรือหาทางลงของเรื่องนี้ให้สวยที่สุด.