วันที่ 23 ก.ย. หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย แถลงข่าวขานรับ 10 นโยบายกระทรวงพาณิชย์ พร้อมผนึกกำลังสนับสนุนการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และได้เสนอรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำกับดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่ภาคธุรกิจไทยสามารถแข่งขันได้ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตเต็มศักยภาพ

โดยมีผู้แทนจากภาคธุรกิจและสมาคมต่าง ๆ ร่วมเสนอข้อคิดเห็นเพิ่มเติม อาทิ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย สมาคมผู้ผลิตไก่เพื่อส่งออก สมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย สมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป และสมาคมโรงแรมไทย เป็นต้น

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หลังจากการเข้าพบท่านนายกรัฐมนตรี และได้ยื่นสมุดปกขาว ด้านกระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศ 10 นโยบาย ประกอบด้วย นโยบายลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส การบริหารให้เกิดความสมดุลระหว่างผู้บริโภค เกษตรกร และผู้ประกอบการ การแก้ข้อจำกัดของกฎหมายและปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าสมัย ขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจฐานราก เร่งผลักดันการส่งออกให้ตัวเลขเป็นบวกขึ้น

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเร่งเจรจา FTA พานักธุรกิจไทยไปบุกต่างประเทศ การปรับโครงสร้างการส่งออกให้ทันสมัย และการส่งเสริมสินค้ารักษ์โลก ซึ่งหลายมาตรการของกระทรวงพาณิชย์ ตรงกับข้อเสนอและแนวทางของหอการค้าไทยที่อยู่ระหว่างดำเนินการควบคู่ไปกับรัฐบาล ทั้งนี้ สามารถแบ่งมาตรการต่าง ๆ ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

1) มาตรการที่กระทบต่อคนส่วนใหญ่ทั้งการลดค่าใช้จ่าย และมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ตลอดจนการนำเอาสินค้าร้านธงฟ้าเข้าไปช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนในพื้นที่ ส่วนการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านเงิน 1 หมื่นบาท ต้องขอขอบคุณรัฐบาลที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในระยะเร่งด่วนของกลุ่มเปราะบาง ซึ่งส่วนนี้เชื่อว่าจะเกิดการใช้จ่ายทันที

ขณะที่ ระยะสั้น หอการค้าฯ ยังเห็นว่าสามารถดึงกำลังซื้อจากประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้ โดยได้เสนอโครงการคูณสอง ดึงกำลังซื้อจากประชาชนโดยรัฐมีส่วนสนับสนุนกึ่งหนึ่ง ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้สูง ยังอยากเห็นการนำเอามาตรการจูงใจทางภาษี เช่น Easy E-Receipt เข้ามากระตุ้นการจับจ่ายในช่วงที่เหลือของปี โดยใช้งบประมาณภาครัฐไม่มาก

2) มาตรการสำหรับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะการเร่งแก้หนี้ ทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบ โดยเฉพาะหนี้ที่เป็นอุปกรณ์ทำมาหากินของผู้ประกอบการรายย่อย เช่น รถกระบะที่มีแนวโน้มถูกยึดสูง รัฐบาลจำเป็นต้องมีมาตรการเฉพาะเข้ามาช่วยเหลือกลุ่มนี้ให้สามารถใช้เป็นเครื่องมือทำมาหากินได้ สำหรับระยะยาว ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข หอการค้าฯ มีแผนที่จะเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อพูดคุยและหาแนวทางที่เหมาะสมในการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ในด้านการขยายตลาดต่างประเทศ ผ่านการทำงานเชิงรุกในประเทศกลุ่มเป้าหมาย Strategic Country เช่น ในตะวันออกกลาง ซาอุดีอาระเบีย จีน เวียดนาม และอินเดีย โดยรัฐบาลจำเป็นต้องมีการปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังและวัดผลได้ เร่งผลักดัน FTA และเดินหน้าพื้นที่ EEC ต่อเนื่องซึ่งถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญในการส่งเสริม New Industry ภายในประเทศ

ซึ่งส่วนนี้รัฐบาลจำเป็นต้องเข้าไปขยายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และพัฒนาระบบน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนเดินหน้ายกระดับ 10 เมืองสู่เมืองหลัก เพื่อกระจายความเจริญไปทั่วประเทศ ทั้งในมิติการลงทุน การท่องเที่ยว และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่งทั้งในและข้ามจังหวัดให้ดีขึ้น

3) นโยบายเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่ม เช่น ภาคการเกษตร หอการค้าฯ ได้มีการทำศูนย์ประสานงานสินค้าภาคเกษตรที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางเชื่อมโยงความต้องการของตลาดกับสินค้าภาคเกษตรที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ ขณะเดียวกันก็ได้มีการหารือและเตรียมข้อเสนอที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาสินค้าต่างประเทศทุ่มตลาดเข้ามายังประเทศไทย การส่งเสริม Green Industry ที่ไม่ใช่เฉพาะสินค้า แต่รวมถึงภาคการค้าและบริการด้วย โดยเฉพาะ บริษัทใหญ่ที่มีความพร้อมสามารถเข้าไปช่วยผู้ประกอบการที่อยู่ใน supply chain ให้สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ความยั่งยืนได้

ท้ายที่สุด ฝากถึงรัฐบาลในการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 และ 68 โดยเฉพาะงบการลงทุนและก่อสร้าง ซึ่งส่วนนี้จะมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่ ทั้งนี้ “หอการค้าฯ และเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศพร้อมสนับสนุนและทำงานร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงหน่วยงานภาคที่เกี่ยวข้อง อย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวให้เห็นผลเป็นรูปธรรม” นายสนั่น กล่าว

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการ คนที่ 1 หอการค้าไทยและ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ค่าเงินบาทที่แข็งค่ามากขึ้น 8-10% อย่างรวดเร็วและรุนแรงในระยะสั้น ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00 บาท (+-) ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก และภาคธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ เมื่อเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าใช้จ่ายสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติก็จะสูงขึ้นตาม ทำให้การท่องเที่ยวไทยกลายเป็นจุดหมายที่มีราคาสูง และนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยจะจับจ่ายใช้สอยน้อยลง เพราะรู้สึกว่าสินค้าและบริการแพงขึ้นกว่าปกติและอาจจะเลือกไปยังประเทศที่มีค่าเงินอ่อนกว่าและคุ้มค่ามากกว่า นั้น

จากที่กล่าวมาเบื้องต้น ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย หากค่าเงินบาทแข็งค่าเฉลี่ย 1% ต่อปี กระทบรายได้ผู้ประกอบการในภาคการส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี อาจมีผลกระทบต่อรายได้ผู้ส่งออกเกือบ 1 แสนล้านบาทต่อปี หรือคิดเป็นกว่า 0.5% ของ GDP ปกติ

ดังนั้น ค่าเงินบาทที่ผันผวนในปัจจุบันจะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยโดยทันที โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นหลัก หรือ Local Content อาทิ กลุ่มสินค้าเกษตรและอาหาร ซึ่งการที่ค่าเงินบาทผันผวนจะส่งผลกระทบใน 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่

1) ขีดความสามารถในการแข่งขัน ค่าเงินบาทที่ผันผวนจะทำให้ลดขีดความสามารถในการส่งออกเป็นมาก โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิตที่ใช้ในอุตสาหกรรมเกษตรและประมงจะปรับสูงขึ้นทันที 10% ส่งผลให้ผู้ผลิตและแปรรูปในไทยอาจต้องปรับราคาสินค้าให้สูงขึ้นตาม ซึ่งจะทำให้ลดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก เนื่องจากผู้ซื้อจะหันไปหาสินค้าจากประเทศอื่นที่มีราคาถูกกว่า

2) การวางแผนการผลิตและการตลาด หากค่าเงินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ผู้ผลิตและแปรรูปอาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การตลาดหรือการผลิตได้ทันเวลา ทำให้ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) ความไม่แน่นอนและเพิ่มความเสี่ยงทางธุรกิจส่งออกเนื่องจากความผันผวนของค่าเงิน ความผันผวนของค่าเงินสร้างความไม่แน่นอนในตลาด การลงทุนและการวางแผนธุรกิจจะยากขึ้น ซึ่งอาจทำให้ผู้ประกอบการไม่กล้าลงทุนในโครงการใหม่หรือขยายตลาด ส่งผลให้ขาดโอกาสในการพัฒนาและเติบโตในอุตสาหกรรมของไทยอย่างเหมาะสม

ดังนั้น หอการค้าฯ จึงขอให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่กำกับดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ ไม่ผันผวนอย่างรุนแรงจนเกินไป และดูแลค่าเงินบาทให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งภายในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคา พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศ มีการปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์โลกปัจจุบัน เพื่อหาจุดแข็งและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของตนเอง ตลอดจนการสร้างความยั่งยืนและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันทางการค้า โดยมีภาครัฐเป็น Facilitator และต้องหารือร่วมกับเอกชนอย่างต่อเนื่องขณะเดียวกัน

ทั้งนี้ หอการค้าฯ ได้ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาสินค้าราคาถูก ไม่มีคุณภาพที่ไหลทะลักเข้ามาในประเทศ สร้างความเสียหายต่อผู้บริโภคและส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย โดยส่วนนี้ได้มีการหารือและอยู่ระหว่างการประสานความร่วมมือกับสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ในการติดตามดูแลสินค้าไทย-จีน และจัดทำโครงสร้างการค้าที่เป็นธรรมทั้ง 2 ประเทศ เป็นต้น

ด้าน รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้มีการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกลงแบบเร็ว-แรงที่ 0.50% จากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 5.25-5.50% สู่ 4.75-5.00% ซึ่งหอการค้าฯ เห็นว่าน่าจะถึงเวลาที่ กนง. ควรพิจารณาปรับลดดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อให้อัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทไม่แข็งค่าจนเกินไป ซึ่งจะช่วยเอื้อให้ผู้ประกอบการภาคการส่งออก และภาคท่องเที่ยวและบริการ สามารถที่แข่งขันได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับความกังวลของภาคเอกชนในการติดตามอัปเดตสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้น หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินมูลค่าความเสียหายกรณีสถานการณ์น้ำท่วม ปี 2567 ประมาณ 21,577 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.12% ของ GDP (ข้อมูล ณ 18 ก.ย. 67) (สมมุติให้สถานการณ์น้ำท่วมคลี่คลายภายใน 15 วัน)

จากการประเมิน พบว่า ภาคการเกษตรได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมีมูลค่าความเสียหายรวมถึง 18,226 ล้านบาท รองลงมาเป็นภาคบริการ เสียหาย 3,260 ล้านบาท และภาคอุตสาหกรรมเสียหาย 91 ล้านบาท

แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในหลายจังหวัดเริ่มคลี่คลายจากระดับน้ำที่ลดลง ดังนั้น สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญทันทีหลังสถานการณ์ระดับน้ำลดลงและเข้าสู่ภาวะปกติ คือ การช่วยเหลือ ซ่อมแซม และฟื้นฟู ให้ประชาชนและภาคธุรกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งหอการค้าฯ เห็นว่ารัฐบาลควรมีนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ เร่งจัดมาตรการทางการเงินช่วยเหลือ เช่น การพักชำระหนี้ การลดดอกเบี้ย หรือแม้แต่ Soft Loan เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็ว

ทั้งนี้ หอการค้าไทยและมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2567 กรณีนับรวมโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ที่จะมีส่วนช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ในช่วง Q4 ของปีนี้ให้เติบโตราว 3.8-4.3% โดยทั้งปีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้เพิ่มขึ้นอีก 0.2-0.3% และทำให้ภาพรวม GDP ในปีนี้เติบโตจากเดิมที่คาดไว้ 2.5% เป็น 2.6-2.8%