นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบลฟาสต์ในสมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำแห่งไอร์แลนด์เหนือ เพิ่งตีพิมพ์ผลงานการศึกษาวิจัยล่าสุดในเครือข่ายฐานข้อมูลวารสารสมาคมการแพทย์อเมริกัน (JAMA) เมื่อวันพุธที่ผ่านมา โดยระบุว่ามีสารอาหารบางชนิดที่สามารถลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้

ผลการวิจัยใหม่ชี้ว่าการรับประทานอาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์สูงเพิ่มขึ้น 6 หน่วยบริโภคต่อวันสามารถลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมได้ 28% โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มีภาวะซึมเศร้า และมีความเสี่ยงทางพันธุกรรมสูง

ทีมวิจัยพบว่าอัตราการลดความเสี่ยงสูงสุดอยู่ในกลุ่มผู้ที่บริโภคอาหารและเครื่องดื่มดังต่อไปนี้อย่างน้อย 2 ครั้งต่อวัน ได้แก่ เครื่องดื่มประเภทชา จำนวน 5 ถ้วยต่อวัน, ไวน์แดง 1 แก้วต่อวัน และผลไม้ประเภทเบอร์รี่ครึ่งหน่วยบริโภคต่อวัน เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์อยู่สูง

สารฟลาโวนอยด์นี้เป็นสารธรรมชาติที่พบในผลไม้ ผัก และพืชอื่นๆ ที่สามารถลดการอักเสบในสมอง เพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง และส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้

ผลการวิจัยครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมเป็นประชากรชาวอังกฤษจำนวน 122,000 คน อายุระหว่าง 40-70 ปี โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะต้องรายงานสิ่งที่กินเข้าไป จากนั้นทีมวิจัยจะให้คะแนนอาหารที่มีฟลาโวนอยด์ตามปริมาณการบริโภคชาเขียวหรือชาดำ ไวน์แดง แอปเปิล ผลไม้ประเภทเบอร์รี่ องุ่น ส้ม เกรปฟรุต พริกหวาน หัวหอมใหญ่ และดาร์คช็อกโกแลต

ผลปรากฏว่าผู้ร่วมการวิจัยส่วนใหญ่บริโภคอาหารที่มีฟลาโวนอยด์สูง 4-5 ครั้งต่อวัน โดยนิยมดื่มชามากที่สุด ทีมวิจัยได้ติดตามอาสาสมัครเหล่านี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 9 ปี โดยในช่วงเวลาดังกล่าว มีรายงานผู้ป่วยโรคสมองเสื่อม 882 ราย และพบว่าผู้ที่มีคะแนนอาหารที่มีฟลาโวนอยด์สูงที่สุดมีความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมต่ำกว่าผู้ที่มีคะแนนอาหารที่มีฟลาโวนอยด์ต่ำที่สุด

กลุ่มนักวิจัยได้ศึกษาสารฟลาโวนอยด์หลายประเภทและพบว่าสารแอนโธไซยานิน, สารฟลาวาน-3-โอล และสารฟลาโวนมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงเป็นโรคสมองเสื่อมชัดเจนที่สุด ซึ่งเครื่องดื่มประเภทชา ไวน์แดง และผลไม้เบอร์รี่ล้วนเป็นอาหารที่มีฟลาโวนอยด์อยู่มาก

อย่างไรก็ตาม การวิจัยดังกล่าวก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ เช่น การอาศัยข้อมูลที่ได้จากการายงานของผู้ร่วมการวิจัยเท่านั้น อีกทั้งยังขาดการข้อมูลในกรณีของผู้ที่ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม แต่ไม่มีรายงานหรือตรวจพบ

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES