จากกรณีเพจสายไหมต้องรอด  นำ น.ส.เฟิร์น ( นามสมมติ )อายุ 24 ปี  ชาวบึงกาฬ แถลงข่าว เรื่องถูกเอเจนซี่สาวไทยหลอกไปแต่งงานกับหนุ่มจีน โปรไฟล์ดี มีคอนโดมีเนียมเป็นที่อยู่อาศัย  แต่พอไปถึงบ้านฝ่ายชายกลับพาไปอยู่ที่ฟาร์มวัวบนภูเขา การอยู่กินไม่สะดวกสบาย โดยเฉพาะห้องน้ำ ห้องส้วม ไม่มีน้ำอาบการปลดทุกข์ แถมยังได้ค่าสินสอดแค่ 9 หมื่นบาท ทั้งที่แฟนชาวจีนบอกให้ไป 8 แสนบาท จึงต้องหลบหนีจากฟาร์มเพื่อกลับเมืองไทย แต่เอเจนซี่กลับขอเงินสินสอดคืน คาดจะเป็นการค้ามนุษย์

วันที่ 17 ก.ย. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบ น.ส.ฝ้าย (นามสมมติ) อายุ 24 ปี ชาวสกลนคร ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเอเจนซี่ จัดหาคู่สาวไทยกับหนุ่มจีน และอมเงินค่าสินสอดไป โดย น.ส.ฝ้าย เปิดเผยว่า  ตนแต่งงานกับหนุ่มจีนมา 5 ปี มีชีวิตสุขสบาย สามีดูแลดี ไม่เคยเปิดบริษัทจัดหาคู่ แต่ระยะเวลา 5 ปี จะมีญาติและเพื่อนชาวจีนมาขอให้สามี ช่วยติดต่อสาวไทยมาแต่งงานเพื่อสร้างครอบครัวให้ด้วย ส่วนตนก็จะมีสาวไทยมาขอให้ช่วยติดต่อหนุ่มชาวจีนให้ด้วย มาในลักษณะขอร้อง ซึ่งตนก็ติดต่อให้ทั้งหมด 12 คู่ โดยไม่ได้เรียกร้องเงินทองจากคู่รักแต่อย่างใด นอกจากจะจัดงานแต่ง เจ้าบ่าวจะใส่ซองตอบแทนแม่สื่อเท่านั้น 10 คู่มีความสุขดี มีลูก  มีแค่ 2 คู่มีปัญหา

น.ส.ฝ้าย กล่าวต่อว่า  ส่วน น.ส.แบ๋ม ทำงานที่ร้านอาหารในสนามบินสุวรรณภูมิ เคยมีครอบครัวมาก่อน  เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันกับคนที่ไปแต่งงานก่อนแล้วได้ดี คือแบบปากต่อปาก ส่งรูปมาหาตน และพาแม่มาคุยกับตน อ้อนวอนให้ช่วย เพื่อครอบครัวจะได้ดีขึ้น ตนสงสารจึงช่วยเหลือเพื่อให้ชีวิตดีขึ้น ส่วนหนุ่มชาวจีนเป็นญาติกับสามีตน  อายุ 30 ปี ซึ่งเช่าที่ทำฟาร์มวัว ฟาร์มแกะ ปลูกผักบนภูเขา ไม่ได้สะดวก แต่มีคอนโดในตัวเมืองจริง จะมีผู้หญิงไทยรับได้มั๊ย  เบื้องต้นได้ให้ทั้งคู่ไลฟ์คุยกันผ่านวีแชท ต่างพอใจซึ่งกันและกัน ตกลงจะไปศึกษาดูใจกันก่อนจดทะเบียนแต่งงาน ก็ให้มาเรียนภาษาจีนจนสื่อสารกันได้  เสร็จแล้วก็ดำเนินการเรื่องเอกสาร

น.ส.ฝ้าย เปิดเผยต่อไปว่า โดยหนุ่มจีนโอนเงินให้ตนถือไว้ 8 หมื่นหยวน  คิดเป็นเงินไทย 3.6 แสนบาท เพราะถ้าให้สาวไทยเกรงจะหอบเงินหนี  เป็นค่าสินสอด 1 แสนบาท ค่าทอง เรียนภาษาจีน ซื้อโทรศัพท์ ค่ากินค่าอยู่ ค่าดำเนินการเอกสาร ค่าตั๋วเครื่องบิน เมื่อเดินทางไปถึงบ้านหนุ่มจีนเพื่ออยู่ศึกษาดูใจกัน 10 วัน โดยมีกฎว่าอยู่ด้วยกันได้  ศึกษาดูใจกันได้ แต่ห้ามมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งก่อนจดทะเบียน เพราะเกรงจะเกิดปัญหาภายหลังว่าได้แล้วไม่รับผิดชอบ  ถ้าศึกษาดูใจกันแล้วไม่ประทับใจก็เดินทางกลับ แต่ถ้าพอใจจะตกลงแต่งงานกัน

“ปรากฏว่า น.ส.แบ๋ม พอใจจะอยู่ต่อ  จึงพาไปจดทะเบียน และโอนเงินสินสอดให้ 1 แสนบาท  เงินที่เหลือจะซื้อทองให้ก่อนแต่งงาน แต่ผู้ชายยังทำงานไม่เสร็จ ยังไม่ได้ไปหาฤกษ์แต่งงาน ก็ให้ น.ส.แบ๋มอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำงานอะไร แม้แต่ถ้วยยังไม่ได้ล้าง  แต่หลังจากได้เงินสินสอดแล้ว 4 วัน น.ส.แบ๋ม ก็เปลี่ยนไป อันนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็ไม่ดี ขอเงินแฟนก็ให้ แล้วก็หนีออกจากบ้าน แล้วมาบอกว่าตนเป็นเอเจนซี่หลอกไปแต่งงานกับหนุ่มจีนไม่ตรงปก และกล่าวหาว่าแฟนหนุ่มจีนโอนเงินมาให้ตน 8 แสนบาทนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะยังไม่มีการโอนมาให้ตนแต่อย่างใด และกล่าวหาว่าสามีตนทำร้ายร่างกายหญิงไทย ก็ไม่เป็นความจริง เพราะสามีภรรยาทะเลาะกัน สามีตนเข้าไปห้ามก็แค่นั้นไม่ได้ทำร้ายใคร

น.ส.ฝ้าย เปิดเผยอีกว่า  ขอยืนยันว่าไม่ได้เป็นเอเจนซี่หาคู่ เพื่อแลกกับเงินค่าจ้าง แต่ตนกับสามีแค่เป็นแม่สื่อให้สาวไทยกับหนุ่มจีนมาพบกัน ถ้าพอใจก็จดทะเบียน และหาฤกษ์แต่งงานกัน เงินที่โอนมาให้ตน 3.6 แสนบาท เพื่อดำเนินการทั้งหมด เหลือแค่ซื้อทองในงานแต่งเท่านั้น เหลือเงินกี่บาทก็ซื้อเท่านั้น

ส่วนเงินตอบแทนตนนั้น หนุ่มจีนอาจจะใส่พานเป็นค่าตอบแทน 5 พันบาท หรือ 1 หมื่นบาทเท่านั้น  ตนมีหลักฐานทุกอย่าง ถ้าอยากจะฟ้องก็คิดให้ดี และมีคนที่จะเป็นพยานให้ หนุ่มจีนอาจจะบอกว่าให้เงิน 8 แสนบาทไว้กับตน แต่สาวไทยหนีก่อนเลยไม่โอนมา และไม่เคยข่มขู่ครอบครัวใคร

“ส่วนตัวคิดว่าที่ออกมาร้องเรียนก็แค่ไม่อยากคืนเงินสินสอด 1 แสนบาท ฝากถึงน้องคนนั้น ให้ไปเซ็นทะเบียนหย่าให้เขา ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้กลับไทย จะไม่มีการเจรจาอีกแล้ว เซ็นแล้วกลับไทยได้เลย เพราะว่าเขาก็ไม่เอาคุณแล้วเหมือนกัน ให้เอาเงินสินสอดมาคืน 1 แสนบาท เพราะถ้าไม่ให้เขาคืน ตนก็ต้องชดใช้แทน ของมีค่าที่ใช้อยู่ของตนให้เอามาคืน ใช้ของเขาก็ยังประจานเขาอยู่”น.ส.ฝ้าย กล่าว