เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่รัฐสภา นายนนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ ส.ส.นนทบุรี พรรคประชาชน แถลงถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุไว้ในนโยบายของรัฐบาล เรื่องการสร้างรายได้ใหม่ด้วยการนำเศรษฐกิจนอกภาษีและเศรษฐกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบภาษีร้อยละ 50 ของจีดีพี และพูดถึงการขับเคลื่อนนโยบายเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ว่า ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันจับตาโครงการนี้ ที่อ้างถึงตัวเลขหลายแสนล้านบาท หากเทียบกับมาเก๊า เราจะต้องแย่งฐานลูกค้าของมาเก๊ามาได้ทั้งหมด ในขณะที่ประเทศใกล้เคียงสิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ยังทำได้ 1 ใน 3 ของมาเก๊าเท่านั้นเอง จึงไม่เห็นที่มาที่ไปของตัวเลขรายได้ที่แท้จริงหากคำนวณไม่น่าจะเกินหมื่นล้านบาท ในขณะที่รัฐบาลยังไม่มีการเตรียมความพร้อมในการรองรับผลกระทบที่จะตามมา ทั้งการแก้ไขการพนันผิดกฎหมาย การพนันออนไลน์ และการพนันท้องถิ่น โดยปัจจุบันอัตราโทษการพนันค่อนข้างต่ำ ผู้เล่น ถูกปรับแค่ 2,000 บาท ผู้จัดให้มีการเล่นจะถูกปรับที่ 2 หมื่น-2 แสนบาทโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี

นายนนท์ กล่าวต่อว่า สิ่งแรกที่ควรจะคำนึงถึงคือ การทำระบบกฎหมายที่เข้มแข็งก่อนที่จะมีกาสิโน โดยปรับปรุงกฎหมายที่เอาผิดในปัจจุบันที่โทษค่อนข้างอ่อน ทำให้ผู้กระทำผิดไม่เกรงกลัวกฎหมาย ที่สำคัญคือการให้ตำรวจทำหน้าที่จับกุมปราบปรามการพนัน แต่วันนี้จะไว้ใจได้อย่างไร เพราะเพิ่งจะมีข่าวว่าตำรวจระดับบิ๊ก 2 คนไปพัวพันกับเว็บการพนัน และยังมีข่าวเครือข่ายตำรวจทางภาคเหนือเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์เสียเอง แล้วจะให้บุคคลเหล่านี้มาดูแลไม่ให้เกิดอาชญากรรมเกี่ยวกับกาสิโน เราจะหวังได้จริงหรือไม่ หากแก้ไขปัญหาพื้นฐานแบบนี้ไม่ได้ก็เท่ากับว่าเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ จะเป็นปัญหาใหม่ที่จะนำเข้ามาสู่ประเทศไทยและอาจจะขยายไปสู่ธุรกิจสีเทาอื่นๆ และในพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร เก็บค่าเข้าสำหรับชาวไทยถูกระบุไว้ที่ 5,000 บาท จะมีใครมาใช้บริการ หากเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์เกิดขึ้น จะทำให้คนไปใช้บริการบ่อนผิดกฎหมายอย่างแน่นอน

นายนนท์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร พบว่าข้อหนึ่งระบุว่าไม่สามารถให้มีการเล่นการพนันออนไลน์ จึงอยากถามว่าปัจจุบันมีเครื่องมือการเข้าถึงการพนันออนไลน์เหมือนนานาชาติหรือไม่ ขณะเดียวกันการทำการพนันพื้นบ้านและการพนันท้องถิ่นให้ถูกกฎหมายก็ไม่ได้ถูกระบุเอาไว้ และเมื่อดูในรายละเอียดของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ในองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร และเนื้อหาแทบไม่ต่างอะไรจากครม.และระบบราชการในปัจจุบันเลย จึงมองว่าไม่น่าจะมีประสิทธิภาพแน่นอน ในเมื่อครม.ชุดนี้มีหน้าที่มีงานที่ต้องรับผิดชอบ จะเอาเวลาที่ไหนมาใส่ใจดูแลกำหนดนโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ และยิ่งนำปลัดกระทรวงต่างๆ มานั่งเท่ากับกรรมการชุดนี้ให้อำนาจล้นฟ้ากับคณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจร ซึ่งถือเป็นอันตรายมาก

 “เมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านมา รมช.คลัง ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ให้ข่าวว่ากระทรวงการคลังไม่มีหน้าที่ที่จะตัดสินใจว่าความเหมาะสมที่จะทำเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ มีจำนวนเท่าไหร่ ทำจังหวัดใด ใครเป็นคนทำ จึงอยากให้กลับไปดูโครงสร้างของคณะกรรมการนโยบายฯ ซึ่งรมว.คลัง ก็เป็นหนึ่งชองคณะกรรมการนโยบายฯ ดังนั้นขอให้จับตาคุณสมบัติของคณะกรรมการนโยบายที่จะถูกแต่งตั้งว่าลักษณะต้องห้ามบางอย่างหายไปโดยการถูกขีดฆ่าในชั้นคณะกรรมาธิการวิสามัญเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ คือต้องไม่เคยถูกวุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง ต้องไม่อยู่ระหว่างห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องไม่เคยพ้นจากตำแหน่งกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทมหาชน จำกัด เพราะเหตุลักษณะที่แสดงถึงการขาดความเหมาะสมที่จะได้รับความไว้วางใจบริหารจัดการกิจการที่มีมหาชนเป็นผู้ถือหุ้นตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งในสมัยครม.ชุดที่แล้วมี รมช.คลังคนหนึ่ง เพิ่งได้รับตำแหน่ง และแต่งตั้งนาย “ธ…” ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขา รมช.คลัง แต่มีคนพบว่าบุคคลนี้มีความผิดฐานปั่นหุ้น โดนสั่งปรับ และสั่งห้ามซื้อขายตลาดหลักทรัพย์ ด้วยเหตุนี้หรือไม่ที่ทำให้คุณสมบัติบางข้อหายไป หรือเพื่อเปิดทางให้คนที่รู้ทางหนีทีไล่ ดึงเข้ามาเพื่อเป็นคณะกรรมการเอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ในอนาคต”นายนนท์ กล่าว

 นายนนท์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตถึงข้อกำหนดบัญชีแนบท้ายของคณะกรรมาการฯ ที่ทำส่งครม.จาก12 อย่าง เหลือเพียง 10 อย่าง ทุกอย่างดูไม่ตรงปก โดยสิ่งแรกที่หายไปคือเรื่องของศูนย์ประชุมขนาดใหญ่หรือสถานที่จัดนิทรรศการขนาดใหญ่ถูกถอดออกจากบัญชีแนบท้าย แต่ตอนขายฝันชูธงว่าเป็นธุรกิจหลักมหาศาล และถูกบรรจุอยู่ในนโยบายข้อที่ 7 ของครม.ชุดนี้ ซึ่งไม่ทราบว่าไปกระทบศูนย์การค้าของเจ้าสัวรายใดในประเทศไทยหรือไม่ อีกส่วนหนึ่งคือ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพคือ ศูนย์สุขภาพครบวงจร ที่ถูกถอดออกไป อีกทั้งยังถอดเรื่องเกณฑ์วัดมาตรฐานโรงแรม จากเดิมที่กำหนดว่าต้องเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว 6 ดาว ซึ่งเราเริ่มได้กลิ่นแปลกๆ ตัดนั่นตัดนี่ออก บีบให้เหลือเล็กๆน้อยๆ แบบนั้นแบบนี้ หรือที่บอกว่าจะทำเพื่อประโยชน์เศรษฐกิจของประเทศไทย ตนว่าทำเพื่อนายใหญ่นายทุน นายหน้า เหมือนที่หัวหน้าพรรคประชาชนตั้งฉายาให้กับพวกท่าน

นายนนท์ กล่าวอีกว่า สำหรับการอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิง กำหนดไว้ว่าให้สถานบันเทิงตั้งอยู่ในบริเวณที่กำหนดตามพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น ตามที่ครม.เป็นผู้มีอำนาจเสนอเท่านั้น และจะต้องประกอบธุรกิจสถานบันเทิงในบัญชีแนบท้ายอย่างน้อย 4 ประเภท และบ่อนกาสิโนก็จะเข้าความหมายของคำว่าสถานบันเทิงครบวงจรที่รัฐบาลอนุญาตได้ ซึ่งการเปลี่ยนเงื่อนไขนิยามให้หลวมกำกวม จะทำให้นายทุนคนไหนก็ทำได้ จึงอยากถามว่า อยากจะทำ กาสิโนหรูหรา แบบสิงคโปร์หรือจะทำซ่อมซ่อแบบประเทศเพื่อนบ้าน เพราะการกำหนดเช่นนี้จะทำให้เกิดบ่อนคกสิโนขนาดเล็กกระจายไปทั่วประเทศแทนที่จะมี เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ จึงอยากให้กลับไปทบทวนกระบวนการต่างๆให้สมบูรณ์แล้วค่อยเดินหน้าดีกว่าดันทุรัง เพราะท้ายสุด เอ็นเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์จะกลายเป็นสถานบันเทิงแหกตาประชาชน.