สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 ก.ย. ว่าประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ต้อนรับเซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ที่ทำเนียบขาว เมื่อวันศุกร์ โดยเป็นการเยือนกรุงวอชิงตันครั้งแรกอย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่เซอร์ สตาร์เมอร์ รับตำแหน่งผู้นำสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนก.ค. ที่ผ่านมา


ทั้งนี้ หนึ่งในประเด็นสำคัญของการหารือเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี เรียกร้องให้พันธมิตรตะวันตกผ่อนคลายเงื่อนไขมากขึ้น เพื่อให้กองทัพยูเครนสามารถใช้อาวุธที่มีพิสัยทำการระยะไกล เพื่อโจมตีเป้ากมายในรัสเซียได้มากขึ้น

AFP


อย่างไรก็ตาม เซอร์ สตาร์เมอร์กล่าวว่า ไม่มีการหารือเป็นพิเศษเกี่ยวกับ “เรื่องนั้นอย่างเป็นพิเศษ” แต่จะมีการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ “เป็นวงกว้าง” ระหว่างการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ( ยูเอ็นจีเอ ) ที่นครนิวยอร์ก ในช่วงปลายเดือนนี้ ส่วนไบเดนกล่าวว่า “จะไม่มีทางปล่อยให้ปูตินเป็นฝ่ายเหนือกว่า” ในสงครามกับยูเครน


อนึ่ง ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวถึงการที่นายแอนโทนี บลิงเคน รมว.กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ให้คำมั่นระหว่างการเยือนยูเครนครั้งล่าสุด ว่าจะเร่งประสานให้มีการอนุญาตเพิ่มเติม เพื่อให้กองทัพยูเครนใช้อาวุธโจมตีที่มีพิสัยทำการระยะไกล ทั้งของสหรัฐและพันธมิตรได้มากขึ้น “จะเป็นการเปลี่ยนพื้นฐานของสงครามครั้งนี้อย่างมีนัยสำคัญ”


ปูตินขยายความว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะหมายความว่า สมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ ( นาโต ) ซึ่งรวมถึงสหรัฐและหลายประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ( อียู ) “ทำสงครามโดยตรงกับรัสเซีย” และรัฐบาลมอสโกจะตอบโต้ตามความเหมาะสม โดยขึ้นอยู่กับรูปแบบของภัยคุกคาม

ด้านกระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ ว่าปฏิบัติการโต้กลับที่ภูมิภาคเคิร์สก์ ทางตะวันตกของประเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกับภาคตะวันออกของยูเครน สามารถยึดฐานประจำการคืนจากอีกฝ่ายได้แล้วมากกว่า 10 แห่ง นับตั้งแต่ต้นเดือนที่ผ่านมา ซึ่งกองทัพยูเครนเป็นฝ่ายเปิดฉากโจมตีข้ามแดน


อย่างไรก็ตาม ปูตินกล่าวว่า การที่ยูเครนส่ง “หน่วยรบที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ” เข้ามาปฏิบัติการในภูมิภาคเคิร์สก์ เท่ากับเป็น “การเปิดช่องโหว่” ในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน หรือเป็นการทิ้งพื้นที่สำคัญทางตะวันออก ซึ่งกลายเป็น “การสร้างโอกาส” ให้รัสเซียสามารถรุกคืบพื้นที่ดังกล่าวได้มากขึ้นและเร็วขึ้น.

เครดิตภาพ : AFP