เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนฯเรียบร้อยแล้ว โดยหัวหน้ารัฐบาลเรียกประชุมครม.นัดพิเศษเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 12 -13 ก.ย. จะได้เข้าทำงานอย่างเป็นทางการ โดยระหว่างการประชุมครม. “น.ส. แพทองธาร” ได้ฝากเรื่องครม. 4 เรื่องคือ

1.ขอให้ทุกคนได้น้อมนำพระบรมราโชวาทที่ทรงพระราชทานให้พวกเรา ซึ่งถือเป็นกำลังใจอย่างมากและเป็นแนวทางในการทำงานอย่างมุ่งมั่นต่อไป
2.ขอให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเตรียมการแต่งตั้ง ข้าราชการระดับปลัดแทนตำแหน่งที่เกษียณและอยู่ในตำแหน่งครบอายุ 4 ปีเพื่อเสนอครม.หลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
3.สำหรับการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาขอให้รัฐมนตรีทุกคน เตรียมชี้แจงตอบคำถาม ในประเด็นนโยบายที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งช่วยกันสื่อสาร และขยายผลนโยบายในส่วนที่ตนเองเกี่ยวข้อง เพื่อให้ราชการและประชาชน เข้าใจนโยบายของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น
4.ขอให้ช่วยดำเนินการต่อเนื่องจากงานของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว การดูแลสินค้าเกษตร การดูแลกลุ่มเปราะบาง การแก้ปัญหาน้ำท่วม และการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ การเร่งรัดการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐ

นอกจากนี้ “หัวหน้ารัฐบาล” ยังแถลงข่าวภายหลังการประชมครม. นัดพิเศษ ยืนยันจะทำงานแข่งกับเวลา ทุกนาที ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะเราคือผู้แทนของประชาชน ที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากทั่วพื้นที่ของคนทั้งประเทศ มาจากพรรคการเมืองที่มีความแตกต่างหลากหลาย ต่างภูมิภาค ต่างช่วงวัย เพื่อทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ซึ่งจะใช้ความหลากหลายให้เป็นจุดแข็ง ให้รู้ปัญหาที่แท้จริงของประชาชน และสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และทันเวลา ส่วนนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ก็ต่อเนื่องจากรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ และได้มีการรับฟังความเห็น จากพรรคการเมืองทุกพรรค เพื่อนำมาปรับแก้ให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ (รธน.) และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

รวมทั้งขอให้ความมั่นใจว่า จะใช้ความสามารถในการประสานพลัง กับครม.ทุกท่าน ให้ทำงานด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้ความสามารถของตนเอง อย่างเต็มที่ เชื่อว่าโอกาส คือ สิ่งที่เราสามารถสร้างให้เกิดขึ้นได้ และครม. และข้าราชการทุกภาคส่วน พร้อมแล้วที่จะทำงานเพื่ออย่างแน่วแน่ และมั่นคง เพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ทำงานเป็นทีมสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมให้กับประชาชน และไม่ใช่เริ่มพรุ่งนี้ แต่จะเริ่มตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป” นายกฯ กล่าวและว่า ส่วนการประเมินผลงานของนายกฯและครม.นั้น ในใจคิดว่าต้องสรุปให้ประชาชนฟังใน 3 เดือนแรกแน่นอน แต่ส่วนตัวจะนัดรัฐมนตรีแต่ละท่าน มาร่วมพูดคุยกันทุกกระทรวงโดยจะสลับกระทรวงกันไป คิดว่าทุกท่านก็มีความตั้งใจที่จะทำตามนโยบายอยู่แล้ว น่าจะเป็นส่วนช่วยกระตุ้นให้เกิดผลงานได้เร็วขึ้น

เชื่อว่า “น.ส.แพทองธาร” คงรู้ดีว่า ก่อนหน้านั้นมีเสียงวิจารณ์รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ในช่วง 1ปีที่ผ่านมาว่า ยังไม่มีผลงานที่ชัดเจน ดังนั้นจึงออกระบุว่า รัฐบาลของตนเอง ไม่มีช่วงเวลาฮันนีมูน ดังนั้นจึงตั้งเป้าหมาย ในช่วง 3 เดือนแรก จะต้องมีการสรุปความคืบหน้าในการทำงานให้ประชาชน โดยจะเรียกรัฐมนตรีแต่ละคนมาสอบถามความคืบหน้า ดังนั้นคงต้องรอดูว่า เป้าหมายที่วางไว้จะเห็นผลตามที่ตั้งใจไว้หรือไม่ สำหรับนโยบายเร่งด่วน เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ ช่วยเหลือเอสเอ็มอี กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ส่วนนโยบายระยะกลาง และระยะยาว ก็จะต่อยอดอุตสาหกรรมเดิม การเสริมสร้างด้านการสร้างสรรค์ และซอฟพาวเวอร์ โครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคม แผนพัฒนาไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค (Aviation Hub) ระบบสาธารณูปโภค และการพัฒนาคน นอกจากนี้ยังขอให้รัฐมนตรีทุกคนช่วยกันดำเนินการต่อเนื่องจากงานของ อดีตนายกฯ เศรษฐา ทวีสิน

นอกจากนี้ในระหว่าง การแถลง “นายกฯอิ๊งค์” ยังพยายามสลัดภาพว่า “นายทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯในฐานะบิดา ไม่ได้เข้ามาครอบงำเธอ หลังถูกตั้งคำถามการที่ น.ส.แพทองธาร ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ ด้วยความเป็นพ่อลูกกับ นายทักษิณ ทำให้มีการมองว่าระบอบทักษิณ กลับมาแล้ว จะลบคำปรามาสนี้อย่างไรว่า “จะไม่ขอตอบเรื่องนายทักษิณแล้ว เพราะว่าเราต้องเดินไปข้างหน้า วิสัยทัศน์ที่ดีไม่ว่าจะมาจากใครก็ตาม อายุเท่าไหร่ก็ตาม วิสัยทัศน์ที่ดีคือสิ่งที่ดี เพราะฉะนั้นขอตอบแค่นี้แล้วกัน” สอดคล้องกับท่าทีของ “นายทักษิณ” ที่พยายามหลีกเลี่ยงในการตอบคำถามกับสื่อ แม้จะเดินทางเข้าไปที่อาคารชินวัตร 3 ซึ่งเป็นที่ทำงานของบุตรสาวก็ตาม

ส่วนความเคลื่อนไหวของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร) ที่ต้องเป็นพรรคฝ่ายค้านอย่างไม่เต็มใจ โดยมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) โดย “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรณ ยังทำหน้าที่หัวหน้าพรรค ส่วนเลขาธิการพรรคตกเป็นของ “นายไพบูลย์ นิติตะวัน” ในระหว่างการประชุมพรรคพปชร. “พล.อ.ประวิตร” กล่าวว่า จากนี้เราจะไม่มีความแตกแยกกันอีกแล้ว เราจะบริหารใหม่โดยใช้รองหัวหน้าพรรคเป็นผู้คุมพื้นที่ และให้เลขาธิการพรรคเป็นฝ่ายสนับสนุน พรรค พปชร.จะยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์และปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นพรรคเศรษฐกิจทันสมัย ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ ที่ดี มีชีวิตสดใสขึ้น จะทำเพื่อให้พรรคของเราเข้มแข็ง ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขต่อไป

นอกจากนี้ในช่วงวันหยุด “พล.อ.ประวิตร” ยังได้ประชุมหารือถึงแนวทางขับเคลื่อนพรรคร่วมกับ “นายวัน อยู่บำรุง” กก.บห. และ ประธานพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) นายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานที่ปรึกษา กทม. นายมณฑล โพธิ์คาย อดีต สส.กทม. ที่ได้คะแนนเสียงสูงสุดอันดับ 1 เมื่อปี 62 รวมถึง อดีตผู้สมัคร สส.พรรคปชป. โดยบรรยากาศในการหารือเป็นไปด้วยดี ซึ่ง “พล.อ. ประวิตร” พูดคุยกับลูกพรรคอย่างเป็นกันเอง พร้อมได้พูดคุยถึงทิศทางการนำคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมทำงาน และขับเคลื่อนพรรคพปชร. เพราะปัจจุบันการเมืองพัฒนาไปมาก และพรรคจะทำพรรคการเมืองภายใต้สโกลแกน “อนุรักษ์นิยมทันสมัย” หมายความถึง การนำคนทุกช่วงวัยมาผสมผสานทำงานร่วมกัน จากนั้น “พล.อ.ประวิตร” ได้มอบหมายให้ “นายสามารถ” เป็นประธานคนรุ่นใหม่ของพรรคพปชร. ภายใต้คำขวัญ “New Gen พลังคนรุ่นใหม่ พลังประชารัฐ”

ต้องรอลุ้นว่า การขับเคลื่อนการเมืองของพรรคพปชร. จะสามารถขยายฐานเสียงเพิ่มได้หรือไม่ หรือการรักษาเสียงสส.20 คน ให้อยู่ในพรรคต่อไปอีกได้หรือไม่ เพราะในระหว่างการโหวตเสียงพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 68 ก็มีเสียง “สส.กลุ่มบิ๊กป้อม” เพียง 9 คนเท่านั้น ที่โหวตออกเสียงไม่เห็นด้วย เพราะธรรมชาตินักการเมือง มักต้องการอยู่ในซีกรัฐบาล

ส่วนบรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม สส. เขต 1จ.พิษณุโลก ซึ่งกำหนดไว้วันที่ 15 ก.ย. เข้าสู่ ช่วงโค้งสุดท้าย เพราะเหลือเวลาอีกเพียง 7 วัน ปรากฏว่าทั้ง 2 พรรคการเมืองต่างหาเสียงกันอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะพรรคประชาชน(ปชน.) ครั้งนี้ถือว่าเป็นการพิสูจน์ความศรัทธาของพรรค และเป็นการป้องกันเก้าอี้เดิมของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ “นายปดิพัทธ์ สันติภาดา” อดีต ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 ครอบครองไว้ 2 สมัยที่ผ่านมา อีกทั้งต้องการสร้างความเชื่อมั่น ให้กับบรรดาผู้สนับสนุน หลังพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ราชบุรี โดยพรรคสีส้มส่ง นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ หรือ “โฟล์ค” ลงชิงชัย

ขณะที่เมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมา พรรคปชน.ใช้วิธีการหาเสียงแบบดาวกระจาย 4 จุด นำโดย “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคปชน. พร้อมด้วย “นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์” อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล(ก.ก.) เป็นแกนหลักมาช่วยหาเสียง โดย “นายณัฐพงษ์” กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบประชาชน ในทุกพื้นที่ พบว่ายังคงสนับสนุนโฟล์ค แต่ก็ยังไม่ประมาท โดยเชื่อว่าประชาชนยังไว้วางใจพรรคปชน.การเลือกตั้งท้องถิ่น กับเลือกตั้งระดับประเทศไม่เหมือนกัน ด้าน “นายพิธา” กล่าวว่า สำหรับการเลือกตั้ง 2 สนามที่ผ่านมา พรรคปชน.ไม่ได้หนักใจ อย่าไปกดดันตนเอง แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา หาเสียงให้สนุกก็พอ

ส่วน พรรคเพื่อไทย (พท. ) ส่ง “นายจเด็ศ จันทรา” อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 ที่โยกมาลงในพื้นที่เขต 1 ซึ่งพ่ายแพ้ไปเพียงไม่กี่ร้อยคะแนน โดยมีการระดมช่วยเหลือจากหลายส่วนที่ ส.ส.พรรคพท. จากผู้นำองค์กรท้องถิ่น ทั้งนายกเทศบาลนครพิษณุโลก นายก อบจ.พิษณุโลก พร้อมทั้งมีการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ นำแกนนำพรรคมาช่วยสื่อสาร แม้ว่าพรรคแกนนำรัฐบาลจะไม่ได้เป็นเจ้าของพื้นที่ แต่ในฐานะ “น.ส.แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ เป็นหัวหน้าพรรคพท. อยู่ด้วย คงต้องการสร้างความเชื่อมั่น และถือเป็นการสร้างเครดิตให้กับตนเอง คงไม่ปล่อยให้พรรคต้องพ่ายแพ้ง่าย ๆ

“นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช” อดีตรมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในฐานะ แกนนำพรรคพท. คิดว่า คุณสมบัติของ “นายจเด็ศ” ถือว่าเพียบพร้อมในการมารับใช้ประชาชนเป็นส.ส.พิษณุโลกเขต 1 สิ่งสำคัญในขณะนี้พรรคพท.เป็นพรรครัฐบาล ถ้าประชาชนเลือกคนไปทำงานนั้น การของบประมาณในการพัฒนาพื้นที่ก็ได้รวดเร็วขึ้น และแกนนำพรรคพท. ก็ลงมาช่วยหาเสียงกันอย่างเต็มที่

ต้องยอมรับว่า การหาเสียงครั้งนี้ ถือเป็นการวัดบารมี “เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคปชน. และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯในฐานะหัวหน้าพรรคพท. ซึ่งทั้งสองพรรคคงไม่อยากตกเป็นผู้แพ้ โดยเฉพาะพรรคพท.ในฐานะแกนนำรัฐบาล ถ้าคว้าชัยชนะได้ ก็ช่วยเสริมบารมี “น.ส.แพทองธาร” ให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นต้องรอดูใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะ แม้จะเป็นเพียงแค่ 1 เสียง แต่ก็ถือว่ามีความหมายทางการเมือง.