เมื่อวันที่ 5 ก.ย. บริษัท บริการภาคพื้น ท่าอากาศยานไทย จำกัด(บพ) หรือ AOTGA(ออทก้า) ร่วมกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และกรมศุลกากร เปิดตัวศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า หรือMultimodal Transportation Center (มัลติโมดอล ทรานสปอร์ตเทชั่น เซ็นเตอร์) ศูนย์บริการขนส่งสินค้าผ่านแดนครบวงจร รองรับการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ำ และทางอากาศ พร้อมดำเนินพิธีการศุลกากรได้เบ็ดเสร็จในที่เดียว ณ เขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) โซน 3 เป็นครั้งแรกในไทย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมขนส่ง และโลจิสติกส์ของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค(Aviation Hub)
นายสิริวัฒน์ โตวชิรกุล ผู้จัดการใหญ่ บริษัท AOTGA ผู้ให้บริการภาคพื้นท่าอากาศยาน และบริการคลังสินค้าในท่าอากาศยาน (Cargo Terminal) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 150 ล้านบาท บนเนื้อที่กว่า 4,872 ตารางเมตร(ตร.ม.) แบ่งพื้นที่ให้บริการเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1. Fixed Area พื้นที่สำหรับผู้ประกอบการขนส่งภาคเอกชนที่เป็นผู้ร่วมประกอบกิจการศูนย์บริการศุลกากรเพื่อกระจายสินค้า ได้แก่ FedEx, DHL และ AGS และ 2. Public Area พื้นที่ที่ทาง AOTGA ให้บริการเอง ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายให้บริการกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนส่ง ทั้งใน และต่างประเทศที่เป็นตัวแทนในการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight Forwarder) และผู้ประกอบการของเร่งด่วน (Express Consignment)
นายสิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้เริ่มเจรจากับผู้ประกอบการต่างๆ โดยเบื้องต้นมีลูกค้าแล้วประมาณ 10 รายโดยในปีงบประมาณ 68 (ต.ค.67-ก.ย.68) ซึ่งเป็นปีแรกของการเปิดให้บริการ ตั้งเป้าหมายจะสามารถรองรับปริมาณการขนส่งสินค้าได้ประมาณ 4-5 หมื่นตันต่อปี รายได้ประมาณ 80 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตามแม้จะยังเป็นสัดส่วนที่ไม่มากเมื่อเทียบกับปริมาณการขนส่งสินค้าในภาพรวมของ ทสภ. ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 1.2 ล้านตันต่อปีแต่ก็คาดว่าปริมาณขนส่งสินค้าของศูนย์กระจายสินค้าแห่งนี้ จะเติบโตอย่างต่อเนื่องประมาณ 15% ต่อปี รองรับความต้องการของกลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้าทางอากาศที่มีการเติบโต และมุ่งเน้นใช้ประเทศไทยเป็นฮับในกลุ่มประเทศCLMV (กัมพูชา, สปป.ลาว, เมียนมา และเวียดนาม)
นายสิริวัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับศูนย์บริการดังกล่าว AOTGA ได้นำนวัตกรรมที่ทันสมัยมาให้บริการเพื่อกระจายสินค้าด้วย อาทิ ระบบติดตามทางศุลกากรจากด่านศุลกากรมายังศูนย์บริการศุลกากร เพื่อกระจายสินค้าด้วยระบบกุญแจอิเล็กทรอนิกส์ (E-lock System) และระบบควบคุมสินค้าคงคลัง (E-Inventory) ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกระบวนการนำเข้า และส่งออกสินค้าให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น ช่วยลดขั้นตอน และระยะเวลาในการดำเนินพิธีการทางศุลกากรด้วย ถือเป็นการพลิกโฉมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ไทย สามารถผนวกรูปแบบการขนส่งทุกประเภท การรวมตู้สินค้า และการเก็บรักษา พร้อมดำเนินการพิธีการทางศุลกากรเบ็ดเสร็จในจุดเดียว ช่วยยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ในการกระจายสินค้าไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างแท้จริง
นายสิริวัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับ AOTGA เป็นบริษัทลูกของ ทอท. ปัจจุบันได้ให้บริการงานภาคพื้นที่ทสภ. ประมาณไม่ถึง 1% ซึ่งขณะนี้เตรียมพร้อมรอเข้าประมูลผู้ประกอบการรายที่ 3 งานบริการภาคพื้น ทสภ. รวมทั้งประมูลบริหารงานคลังสินค้า ทสภ. โดยงานส่วนใหญ่จะให้บริการอยู่ที่ท่าอากาศยานภูเก็ต นอกจากนี้ยังดำเนินงานให้บริการทำความสะอาดแบบครบวงจรที่ท่าอากาศยาน 6 แห่งของ ทอท. ซึ่งปีงบประมาณ 66 มีรายได้ประมาณ 2,866 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 67 คาดการณ์มีรายได้ประมาณ 3 พันล้านบาท ขณะที่ปีงบประมาณ 68 คาดการณ์มีรายได้ประมาณ 3,800-3,900 ล้านบาท แต่ทั้งนี้หากสามารถประมูลงานบริการภาคพื้นรายที่ 3 และบริหารคลังสินค้าทสภ. ได้ คาดว่าจะทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มเท่าตัว หรือประมาณ 6 พันล้านบาท.