เมื่อเวันที่ 4 ก.ย. ที่ ห้องประชุม ควรเดชะคุปต์ ตำรวจภูธรภาค 4 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย พร้อมด้วยนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง,พล.ต.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ 4, พล.ต.ต.ธนชาติ รอดคลองตัน รอง ผบช.ภ.4, พล.ต.ต.ณัฐนนท์ ประชุม รอง ผบช.ภ.4 , พล.ต.ต.นพเก้า โสมนัส ผบก.สส.ภ.4 , พล.ต.ต.วิญญู อำนวยสมบัติ ผบก.ภ.จว.บึงกาฬ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.ภ.4 และนายไกรสร กองฉลาด ผวจ.ขอนแก่น ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมกลุ่มขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติรายใหญ่ หลังสามารถจับกุมผู้ต้องหาและตรวจยึดยาบ้าได้รวม 7 ล้านเม็ด คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 210 ล้านบาท

พล.ต.ต.ท.สรายุทธ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ ได้สนธิกำลังร่วมฝ่ายปกครอง เข้าทำการตรวจสอบภายหลังจากได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ารถจักรยานยนต์ของชาวบ้านบ้านหนองคังคา หมู่ 4 ต.หนองเดิน อ.บุ้งคล้า หาย จึงร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบหาเบาะแสของคนร้ายที่ขโมยรถจักรยานยนต์ โดยในขณะที่เดินเข้าไปในสวนยาง ซึ่งอยู่ห่างจากริมตลิ่งแม่น้ำโขงประมาณ 500 เมตร พบรถกระบะ อีซูซุ สีเขียว 4 ประตู ทะเบียน 1 ขฮ- 7300 กรุงเทพฯ บรรทุกสิ่งของเต็มท้ายรถ จอดอยู่นบถนนภายในสวนยางโดยไม่ดับเครื่องยนต์ เจ้าหน้าที่ตำรวจและฝ่ายปกครองจึงขอตรวจค้นภายในรถ แต่คนขับรถอาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและสนธิกำลังร่วมชุดสืบสวน กก.สส.1 บก.สส.ภ.4 นำกำลังลงพื้นที่ตรวจที่เกิดเหตุ พบว่าสิ่งของที่บรรทุกในรถกระบะคันดังกล่าว เป็นยาบ้า 7,000,000 เม็ด จึงตรวจยึดยาบ้าและรถยนต์คันดังกล่าว พร้อมทั้งตรวจค้นในรถ ไม่มีเอกสาร หลักฐานที่บ่งบอกว่าใครคือเจ้าของรถ และใครขับรถคันดังกล่าวมาบรรทุกยาบ้า แต่พบว่ามีบิลของร้านสะดวกซื้อ ถูกขยำทิ้งใกล้ๆ จุดที่รถยนต์จอด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจสอบตามขั้นตอนทางการสืบสวน จนพบหลักฐานว่าคนที่ซื้อสินค้าจากร้านสะดวกซื้อในวันเวลาดังกล่าว คือผู้ต้องหาที่หลบหนีไป เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนทราบว่า ผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวคือ นายธีรเดช อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 3 ต.ดงมูล อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งการติดตามจับกุมตัว นายธีรเดช ได้ที่บริเวณหน้า บขส.เก่า ในพื้นที่ อ.เมือง จ.อุดรธานี ขณะกำลังหลบหนี

จากการสอบสวนนายธีรเดช รับสารภาพว่า เป็นคนขับรถกระบะที่บรรทุกยาบ้าดังกล่าวจริง โดยมีการติดต่อซื้อขายกับเครือข่าย ผ่านช่องทางแมสเซนเจอร์ เฟซบุ๊ก ชื่อ “พารวย พารวย” ก่อนจะลำเลียงยาบ้าทั้งหมดมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อมาส่งขายในประเทศไทย โดยการส่งยาบ้าครั้งนี้จะนำไปพักไว้ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งผู้ต้องหาขับรถกระบะสีเขียวใช้เป็นรถสะเก๊าท์หน้า พร้อมเพื่อนชาวลาว ทำหน้าที่ขับรถตู้ทึบอีกคันมาขนยาบ้าครั้งนี้ แต่รถตู้ยังเดินทางมาไม่ถึง ชาวลาวที่ลำเลียงยาบ้า จึงนำยาบ้าทั้งหมดขนใส่ในรถกระบะ ขณะกำลังจอดรถรอรถตู้ ก็มีเจ้าหน้าที่มาพบ จึงรีบวิ่งหลบหนี กระทั่งถูกตำรวจชุดสืบสวนตามจับกุมตัวได้ ขณะกำลังหลบหนี

ผบช.ภ.4 กล่าวต่ออีกว่า รถกระบะคันที่ถูกตรวจยึดนั้น เป็นรถของเครือข่ายยาเสพติดนำมาจำนำกับเพื่อนที่อยู่ในพื้นที่ อ.หนองกุงศรี จึงนำมาใช้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายยาเสพติดในครั้งนี้มาดำเนินคดีตามกฏหมาย และจะทำการยึดทรัพย์ของผู้ต้องหา และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดด้วย หลังการสอบสวน จึงได้แจ้งข้อหา ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายอันก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชนและทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บุ้งคล้า ดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฏหมายไป.

ขณะที่ นายอนุทิน กล่าวว่า จากการตรวจสอบประวัติของผู้ต้องหารายดังกล่าว พบว่า เกี่ยวข้องในคดี ผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออกซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต และข้อหา พยายามในข้อหาฆ่าผู้อื่น ในพื้นที่ สภ.หนองกุงศรี ข้อหา ขับรถในขณะมึนเมาสุรา สภ.ปลวกแดง ข้อหาครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 พื้นที่ สภ.หนองกุงศรี ข้อหาร่วมกันในข้อหาครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตั้งแต่ 10 กิโลกรัมขึ้นไป พื้นที่ สภ.ศรีวิไล ล่าสุดก็ถูกจับในข้อหา ร่วมกันในข้อหาผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 90 และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจ่ายในกลุ่มประชาชน ร่วมกันในข้อหากระทำความผิดมาตรา 145 วรรค 1 หรือวรรค 2 และเป็นการกระทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน

นายอนุทิน กล่าวต่อว่า การตรวจยึดยาบ้าในครั้งนี้ ต้องให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่บูรณาการการทำงานร่วมกัน จนประสบความสำเร็จ เพราะรัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ต้องการปราบปรามยาสเสพติดให้หมดไป ในส่วนผู้ค้า และผู้รับจ้างขนยาเสพติดนั้น ขอเตือนว่า โทษไม่ได้แตกต่างกัน เมื่อถูกจับได้ จะถูกดำเนินคดีในข้อหาเดียวกัน ในส่วนของการตรวจยึดยาบ้า 7,000,000 เม็ดและจับกุมผู้ต้องหารายดังกล่าวนั้น ทราบว่าผู้ต้องหารับสารภาพ และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีหลักฐานว่า ผู้ต้องหาเกี่ยวข้องกับยาบ้าที่ถูกยึดได้ในครั้งนี้ ซึ่งมูลค่ายาบ้าที่ยึดได้ในครั้งนี้ประมาน 210 ล้านบาท และกล่าวชื่นชมเจ้าหน้าที่ ที่สามารถขยายผลจับคนร้ายจากใบเสร็จร้านสะดวกซื้อ พร้อมฝากเตือนไปถึงผู้คิดที่จะขนยาเสพติด ได้เงินค่าจ้างไม่คุ้มกับโทษหนักที่เทียบเท่าเจ้าของยาเสพติด

“ยืนยันว่า ของกลางเหล่านี้ไม่สามารถเวียนกลับไปแพร่ระบาดได้ เพราะต้องเข้าสู่ขั้นตอนตรวจนับ พิสูจน์โดย ป.ป.ส. และทำบัญชีเก็บไว้โดย อย. เมื่อถึงวงรอบก็นำไปเผาทำลายตามนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งการเผาแต่ละครั้ง ของกลางมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท ขอให้มั่นใจได้ว่า เจ้าหน้าที่จะไม่ลดราวาศอกกับเรื่องนี้ ทุกคนตั้งใจแน่วแน่ร่วมกันว่า เป็นสิ่งที่ต้องทำลาย ที่มองกันว่า ยิ่งจับ เหมือนยิ่งเยอะ เพราะว่า ขบวนการค้ายาเสพติดส่งเข้ามาทดแทนในส่วนที่ถูกจับกุม” นายอนุทิน กล่าว