เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม ถนนแจ้งวัฒนะ ต.บางตลาด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี น.ส.กิ๊ก อายุ 39 ปี แม่ลูก 4 กระเตงลูกๆ ทั้ง 3 คน อายุ 14 ปี 7 ขวบ และวัย 3 ขวบ เข้าร้องเรียน โดยมี ว่าที่ร้อยตรี รภัสสิทธิ์ ภัทรสิริชัยสิน รองประธานมูลนิธิ นายชาญชัย ฉายบุ ที่ปรึกษามูลนิธิ รับเรื่อง เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังถูกเจ้าของห้องเช่าแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี แจ้งจับข้อหาลักทรัพย์ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง

น.ส.กิ๊ก เล่าว่า ภายหลังไม่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง ถูกเจ้าของห้องเช่าซึ่งเป็นสาวประเภทสอง เข้าแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ ที่ สภ.ปากคลองรังสิต จ.ปทุมธานี หาว่าตนขโมยถังน้ำราคาแค่ 45 บาท ไป ซึ่งจริงๆ เป็นแค่เพียงตอนขนของย้ายออกจากห้องเช่าดังกล่าว ลูกชายวัย 7 ขวบ ซึ่งยังไร้เดียงสา อยากช่วยจึงหยิบถังน้ำและมีสิ่งของอีก 2 รายการออกมา จึงถูกแจ้งความจับดังกล่าว

แม่กิ๊ก เล่าด้วยน้ำเสียงเศร้าโศกว่า ปัจจุบันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีลูกทั้งหมด 4 คน ลูกชายคนโต อายุ 19 ปี และลูกๆ อีก 3 คน ที่ต้องพามาด้วยวันนี้ เคยขายลูกชิ้นปิ้ง แต่ต้องหยุดขายมาหลายปีเนื่องจากผ่าตัดหัวเข่า ขณะที่เมื่อหลายปีก่อน ลูกคนโตซึ่งเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาเลี้ยงครอบครัว ก็ถูกกลุ่มวัยรุ่น 8 คน รุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ตำรวจจับตัวกลุ่มวัยรุ่นได้ทั้งหมด มีการเยียวยาเจรจา โดยทั้ง 8 คน ยินดีชดใช้ให้คนละ 625 บาทต่อเดือน เป็นเงิน 5,000 บาท สุดท้ายก็ไม่มีการชดใช้เงินให้ตามที่ตกลง ทำให้ขัดสนรายได้ จนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าห้อง ค้างค่าเช่า 1 เดือน 1,000 บาท และมาถูกเจ้าของห้องเช่าบอกให้ตนเองกับลูกๆ ย้ายออกไป

แม่กิ๊ก เล่าอีกว่า จากนั้นก็ได้ย้ายออกจากห้องเช่าโดยไม่ขัดขืน แต่อยู่ๆ มีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน สภ.ปากคลองรังสิต กล่าวหาว่า ตนลักทรัพย์ ให้ไปพบพนักงานสอบสวน ซึ่งตนไม่มีเงินแม้กระทั่งค่ารถที่จะไปหาตำรวจ จึงตัดสินใจขายหม้อหุงข้าวไปในราคา 300 บาท เป็นค่าเดินทาง และถูกจับพิมพ์ลายนิ้วมือ เจ้าหน้าที่ตำรวจบอกว่า ให้เอากระแป๋งน้ำมาคืน แต่เรื่องก็ไม่จบ เพราะเจ้าของห้องเช่ายังแจ้งอีกว่า ตนขโมยกระจกเงา ขนาด 30×30 เซนติเมตร ไป 1 บาน ราคา 100 บาท และกุญแจล็อกตู้ไฟราคา 20 บาท รวมทรัพย์สิน 3 รายการ มูลค่า 165 บาท จากห้องเช่าไป ซึ่งตนยืนยันได้ว่า ระหว่างที่เช่าอยู่ไม่มีกระจกบานดังกล่าวและกุญแจที่ว่าเลย ส่วนกระแป๋งน้ำ ยอมรับว่าลูกชายวัย 7 ขวบ เป็นคนหยิบออกมาจริง เพราะคิดว่าเป็นของตน

แม่กิ๊ก เล่าว่า วันนี้จึงอยากขอความเห็นใจจากเจ้าของห้องเช่าว่า ตนมีฐานะยากจน เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว แถมลูกชายคนโตก็มาถูกรุมทำร้ายจนปางตาย ทำไมถึงต้องใจดำกับตนขนาดนี้ ถึงกับแจ้งความข้อหาลักทรัพย์ แถมยังประจานตนและด่าทอผ่านทาง Facebook จนตนหมดหนทางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว จึงทักไปทาง Facebook ของมูลนิธิรณรงค์ทวงคืนวานยุติธรรมในสังคม ให้ช่วยเหลือ ก่อนเดินทางมาขอความช่วยเหลือในวันนี้ ซึ่งตนก็ไม่มีค่ารถ แต่ทางมูลนิธิฯ ใจดี เป็นคนออกค่ารถให้เดินทางมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมดังกล่าว

ว่าที่ ร้อยตรี รภัทรสิทธิ์ กล่าวว่า เคสนี้เป็นเคสที่น่าสงสารมาก ที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ทางมูลนิธิฯ จะประสาน และทำเรื่องขอความเห็นใจขอความช่วยเหลือไปที่ทางสำนักอัยการ เพราะดูว่าผู้ต้องหามีเจตนาหรือไม่ กับการที่ถูกผู้เสียหาย แจ้งความข้อหาลักทรัพย์แบบนี้ ที่น่าแปลกใจคือพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กลับมีการออกหมายเรียกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 2 สิงหาคม 67 ซึ่งเป็นไปได้อย่างไรที่หมายเรียกออกในวันเดียวกันพร้อมกัน 2 ใบ ห่างกันแค่ไม่ถึงอาทิตย์ และมีการนำหมายเรียกไปให้ผู้ต้องหาถึงบ้านทั้ง 2 ใบในวันเดียวกัน แถมยังมีการโทรศัพท์ทวงค่าเช่าห้องกับผู้ต้องหาให้กับเจ้าของห้องเช่า ทำแบบนี้ถ้าต่อไปมีคดี ตำรวจทั่วประเทศไม่ต้องทวงค่าเช่าห้องแทนผู้เสียหายหรือ ก็อยากให้ตำรวจมีการสอบปากคำทำคดีให้ละเอียดกว่านี้ ถ้าหากแม่ลูก 4 รายนี้ไม่ไปพบตำรวจตามหมายเรียก และถูกหมายจับในเวลาต่อมา ถึงตอนนั้นคงไม่มีเงินจะประกันตัวสู้คดี ต้องติดคุก และลูกๆ ทั้ง 3 คนที่ยังเล็กจะอยู่กับใคร เป็นเรื่องที่น่าเห็นใจมากสำหรับครอบครัวนี้

นายชาญชัย ที่ปรึกษามูลนิธิฯ กล่าวว่า คดีนี้อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบลึกลงไปถึงรายละเอียดให้มากๆ เพราะผู้ถูกกล่าวหาคือแม่ลูก 4 รายนี้ ก็มีฐานะยากจน เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีภาระต้องเลี้ยงดูลูกหลายคน ลูกชายคนโตก็มาถูกทำร้าย แถมไม่ได้รับการเยียวยาค่าบาดเจ็บ ส่วนเจ้าของห้องเช่าที่แจ้งความดำเนินคดีกับทรัพย์สินที่สูญหายไป ซึ่งเป็นกระแป๋งน้ำใบละไม่กี่สิบบาท ส่วนกระจกเงากับกุญแจ ผู้ถูกกล่าวหาก็ยืนยันไม่ได้เอาไป และไม่พบสิ่งของดังกล่าวในห้องตั้งแต่เข้ามาเช่าอยู่ คดีนี้จึงอยากให้ทางพนักงานสอบสวน มีการสอบปากคำบันทึกรายละเอียดผู้ถูกกล่าวหาให้มากก่อนส่งฟ้อง ไม่เช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายอนาคตของครอบครัวของคนที่ด้อยโอกาสอยู่แล้ว ให้แย่ลงไปกว่าเดิมอีก