มื่อเวลา 11.45 น. วันที่ 3 ก.ย. 2567 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 วาระที่ 2 เรียงตามรายมาตรา

โดยในมาตรา 4 ซึ่งเป็นงบประมาณรวม นายจุติ ไกรฤกษ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ลุกขึ้นขอตัดลดงบประมาณ ร้อยละ 5  โดยระบุว่า นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะรองประธานกรรมาธิการฯ อยู่ในห้องก็ดีแล้ว ตนไม่เห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก และขอเตือนด้วยความหวังดีว่าถ้าทำถูกก็ต้องชม ทำผิดก็ต้องเตือน วันนี้กรรมาธิการท่านส่งสัญญาณผิด ความเชื่อมั่นในเสถียรภาพการคลัง ความเชื่อมั่นในประเทศไทยเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพราะท่านส่งสัญญาณผิด เป็นเรื่องน่าตกใจ คือกระทรวงการคลังบอกว่าจะไม่มีการแทรกแซงธนาคารแห่งประเทศไทย ในเรื่องการกำหนดอัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ และ พ.ร.บ.เงินตรา เหตุการณ์นี้ตกใจกันทั้งเอเชีย และขาดความเชื่อมั่น ที่ส่งสัญญาณผิดอย่างแรกคือท่านกู้มาแจก เพราะการแจกเงินไม่ได้ทำให้หายจน และงบประมาณนี้ที่ทำคือการแจกเงินไม่ได้เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศแม้แต่นิดเดียว รวมถึงขีดความสามารถในการพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งทุกประเทศทำหมด แต่เราทำน้อยมาก

“นอกจากกู้มาแจกแล้ว ท่านยังไม่ชำระหนี้อีก ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณผิดอย่างแน่นอน แม้จะเป็นเรื่องภายในอย่างธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ท่านจะไม่คืนเงินต้นและดอกเบี้ยให้เขา ซึ่งทำให้คนต่างประเทศและนักวิเคราะห์ตกใจในพฤติกรรมกับความคิดของรัฐบาลว่าเป็นแบบนี้หรือ ที่ทำให้ความเชื่อมั่นนั้นหายไป” นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวต่อว่า อีกเรื่องหนึ่งคือท่านตัดงบประมาณที่ดูน้อย แต่เหมือนปิศาจซ่อนในรายละเอียด เช่น กองทุนการออมแห่งชาติ ได้เพียงแค่ 10 ล้านบาท เป็นการส่งสัญญาณผิดว่า รัฐบาลนี้จะไม่สนใจในสังคมสูงวัยใช่หรือไม่ ถึงไม่มีการส่งเสริมการออมแห่งชาติที่รัฐบาลทำมาตั้งหลายสมัย และที่ส่งสัญญาณผิดอีกอย่างคือท่านติดกับดักการคลัง ซึ่งตนกังวลและอยากเตือนรัฐบาลด้วยความหวังดี ว่าสมมุติฐานของท่านก็ผิด ตอนที่ท่านตั้งงบประมาณนี้นั้น อิสราเอลยังไม่รบกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด วันนั้นยังไม่มีสงครามการค้า ยังไม่มีสงครามทางเทคโนโลยี แต่ 1 ปีที่ผ่านมานี้ โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก แต่งบประมาณและการตัดสินใจของเรานั้น ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่ตนกังวล

“ท่านตั้งสมมุติฐานผิด ตั้งโจทย์ผิด ผลลัพธ์ก็จะผิด จึงเรียกว่างบปี 68 ทำไปด้วยระบบราชการเป็นตัวกำหนดอนาคตประเทศ เพราะระบบราชการจะขาดความคล่องตัวให้เข้ากับสถานการณ์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งที่เราอยากแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและความเชื่อมั่น เพราะเรามีปัญหาเหล่านี้และกำลังอยู่ระหว่างช่วงเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล ผมไม่อยากให้เราอ่อนแอ อยากให้รัฐบาลนี้ไปรอด ถ้ารัฐบาลนี้ไปรอด ก็ต้องทำให้ความเชื่อมั่นกลับคืนมาได้ และผมเห็นว่าการจัดทำงบประมาณ ตัดในสิ่งที่ไม่ควรตัด เพิ่มในโครงการที่ไม่ควรเพิ่ม คนจนวันนี้จนทุกอย่าง แม้กระทั่งโอกาส ผมทราบว่ามีงบประมาณให้พอสมควร แต่เปรียบเทียบไม่ได้ คนไทย 1 ล้านคน ไม่มีโอกาสทางการศึกษาเพราะขาดแคนทุนทรัพย์ จึงอยากถามรองประธานกรรมาธิการฯ จะแก้ปัญหานี้อย่างไร เพราะ 7 พันล้าน เปรียบเทียบไม่ได้กับพบ 5 แสนล้าน ที่จะกู้มาแจก” นายจุติ กล่าว

นายจุติ กล่าวด้วยว่า กรรมาธิการได้ตัดงบ 120 ล้านบาท สำหรับเชฟ 1 หมู่บ้าน ซึ่งเป็นงบของซอฟต์พาวเวอร์อาหารไทย ที่ผ่านมาตนก็เคยทำโครงการแม่เลี้ยงเดี่ยว จากที่จนและไม่มีอนาคต แต่เชฟหลายคนช่วยให้เขามีอนาคต วันนี้คนที่ไม่ไปต่างประเทศ มีเงินเดือน 40,000 บาท ดังนั้น อย่าไปตัดงบนี้เลย ควรให้โอกาสคนจน คนที่ต้องพึ่งพา เขาลืมตาอ้าปากได้ เงิน 120 ล้านบาทนั้น เปรียบเทียบกับเงิน 3.7 ล้านล้านบาท เทียบกันไม่ได้ แต่มันคืออนาคตของคน.