เมื่อวันที่ 28 ส.ค.  ที่รัฐสภา  นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวภายหลังพรรคเพื่อไทยส่งหนังสือเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล ว่า พรรคประชาธิปัตย์นัดประชุมกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส.พรรค ในวันที่ 29 ส.ค.นี้ เวลา 19.30 น. ซึ่งตนยืนยันจุดยืนเดิมว่าไม่เห็นด้วยกับการร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่มีตั้งแต่วันแรกเมื่อครั้งที่มีการจัดตั้งรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน เพราะตนไม่สามารถทรยศประชาชนได้ อย่างไรก็ตาม กรณีที่บอกกันว่าเขามาเชิญพรรคประชาธิปัตย์ไปร่วมรัฐบาลนั้น ตนคิดว่าที่จริงแล้ว คนของพรรคฯไปติดต่อเขาก่อน เขาจึงมาเชิญ หรือไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาทก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนที่จะมีหนังสือเชิญ คนของพรรคเราบางคนไปประสานงานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่าพรรคอีแอบ หรือพรรครอเสียบ

“ผมอยากขอว่าอย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ การเลือกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย อยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1- 2 สมัย แล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน”นายชวน กล่าว

นายชวน กล่าวอีกว่า ตนยอมรับว่าเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ในการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ตนได้หารือกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงนายสรรเพชญ บุญญามณี สส.สงขลา ว่าอย่างน้อย 4 คนยังคงยืนยันจุดยืนเดิม แต่เคารพมติของพรรคฯ ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไร ส่วนการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย

เมื่อถามถึงกรณีที่หลายคนมองว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจสูญพันธุ์ นายชวน กล่าวว่า ความดีและผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ยังมีอยู่ แต่คนไม่ค่อยพูดถึง ทั้งนี้คงต้องใช้เวลาในการพัฒนาพรรคฯ ให้กลับมามีความน่าเชื่อถือเหมือนเดิม เพราะในอดีต พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยคิดว่าจะต้องร่วมรัฐบาลทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องไปเหมาไปซื้อพรรคเพื่อเป็นเสียงข้างมากเหมือนอย่างในสมัยของนายทักษิณ ชินวัตร ทำ แต่ตนเข้าใจว่านักการเมืองรุ่นหลังไม่คิดที่จะเติบโต คิดเพียงว่าจะเป็นรัฐมนตรีสัก 2-3 คน ก็พอแล้ว อย่างไรก็ตาม พรรคประชาธิปัตย์เป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของบ้านเมืองที่ควรจะทำบทบาทตัวเองให้มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และมีประโยชน์ต่อบ้านเมือง การเป็นรัฐบาลก็ดีเพราะได้พัฒนาประเทศ แต่ถ้าถึงขนาดต้องเสียศักดิ์ศรีเพื่อไปเป็นรัฐบาล การเป็นฝ่ายค้านก็ไม่เสียหาย

ต่อข้อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า ตนเคยได้ยินเรื่องนี้ แต่ไม่ได้โกรธ และมันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ เขาจึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ที่จริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย ส่วนคนที่พูดเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคฯเลย แต่เขาอาศัยชื่อพรรคหรือบารมีของพรรคฯที่พวกตนทำเอาไว้ เพื่อให้ตัวเขาได้เป็นนักการเมือง ทั้งนี้ขอย้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำของคนบางกลุ่มที่ใช้ตำแหน่งในพรรคฯ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง

“เรื่องที่จะขับผมออกจากพรรคฯ ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด เมื่อทราบ ก็เข้าใจ เพราะเขาเพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสร้างมา คุณเฉลิมชัย ศรีอ่อน เป็นหัวหน้าพรรค คนที่ 9 ก็ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดผม ต้องดูกฎหมายว่าไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์โดยทั่วไปยังพอใช้ได้อยู่ แต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่ใช้ตำแหน่งในพรรคฯ แสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี ผมจึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ผมไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว แต่เป็นเรื่องของประชาชน”นายชวน กล่าว

เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งสส.ครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า