เมื่อวันที่ 27 ส.ค. แกนนำพรรคประชาชน นำโดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ และ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ ร่วมลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุการณ์ดินถล่มที่ ต.กะรน อ.เมือง จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 23 ส.คที่ผ่านมา 

โดยช่วงเช้า น.ส.ศิริกัญญา พร้อม สส. ภูเก็ต พรรคประชาชน ประกอบด้วยนายสมชาติ เตชถาวรเจริญ นายเฉลิมพงศ์ แสงดี และ นายฐิติกันต์ ฐิติพฤฒิกุล  ลงพื้นที่พระใหญ่ เทือกเขานาคเกิด บริเวณลานจอดรถที่เพิ่งสร้างใหม่และคาดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดดินถล่ม ส่งผลให้ประชาชนที่อาศัยในซอยปฏัก 2 และซอยปฏัก 8 ได้รับผลกระทบ ที่พักอาศัยพังทลายและมีผู้เสียชีวิต 13 ราย โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้จังหวัด ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ร่วมลงพื้นที่ด้วย

นายเฉลิมพงศ์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่พบ 3 ประเด็นที่ต้องติดตามหาความกระจ่างต่อไป เรื่องที่ 1 พื้นที่นี้อยู่ในเขตป่าสงวน ซึ่งได้รับการผ่อนผันตามมติ ครม. วันที่ 23 มิ.ย. 2563 แต่ก็พบว่ามีการขยายพื้นที่ก่อสร้างไปถึงกว่า 40 ไร่ เกินกว่าที่ได้รับอนุญาตเพียง 15 ไร่ นอกจากนี้ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่องกำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมในบริเวณพื้นที่จ.ภูเก็ต สามารถก่อสร้างบนพื้นที่ความสูงได้ไม่เกิน 80 เมตร ยกเว้นเพื่อสาธารณประโยชน์ เช่น เสาสัญญาณ แต่กรณีพระใหญ่และอาคารประกอบกลับได้รับยกเว้น ต้องตรวจสอบต่อไปว่าได้รับอนุญาตได้อย่างไร 

นายเฉลิมพงศ์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีหินแกรนิตผุพัง และสภาพดินเป็นดินทรายและดินเหนียว มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดดินถล่ม ต้องตรวจสอบว่ามีการประเมินความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมหรือไม่ ส่วนราชการหรือหน่วยงานรัฐเจ้าของโครงการ กิจการ หรือการดำเนินงานนั้น ๆ ถือปฏิบัติให้เป็นไปตามรายงานการประเมินความเสี่ยงสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดหรือไม่ 

นายเฉลิมพงศ์ กล่าวอีกว่า เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องสำคัญและสามารถเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด คือระบบเตือนภัย ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่จ.ภูเก็ตมีเฉพาะการเตือนภัยเหตุสึนามิ ไม่มีการเตือนภัยภัยพิบัติอื่น ซึ่งเหตุการณ์ดินโคลนถล่มครั้งนี้หากมีระบบเตือนภัยเช่นเซนเซอร์แจ้งเตือนขณะที่มีการเคลื่อนตัวของหินแกรนิตขนาดใหญ่ พี่น้องประชาชนจะอพยพได้ทัน แต่เหตุการณ์ดินโคลนถล่มครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 13 ราย ซึ่งส่วนใหญ่นอนหลับอยู่ในบ้านขณะเกิดเหตุ หากจังหวัดมีระบบแจ้งเตือนเชื่อว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิต 

สส.ภูเก็ต พรรคประชาชน กล่าวต่อว่า จากการพูดคุยกับ ผอ.สำนักงานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม จ. ภูเก็ต พบว่าหินแกรนิต จ.ภูเก็ตเริ่มมีความเสื่อมโทรมทำให้แตก บวกกับชั้นดินเหนียวทำให้เกิดการสไลด์เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ข้อสังเกตนี้ต้องตรวจสอบกันต่อไปผ่านการทำประเมินความเสี่ยงสิ่งแวดล้อม โดยสิ่งที่ตนจะติดตามต่อไปคือพื้นที่ตรงนี้เริ่มต้นจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ขออนุญาตใช้พื้นที่กับกรมป่าไม้เพื่อก่อสร้างองค์พระใหญ่จำนวน 15 ไร่ และขณะนี้พื้นที่เทือกเขานาคเกิดได้ขยายการก่อสร้างลานจอดรถและตัวอาคารเพิ่มเติมออกไป จึงต้องตรวจสอบว่ามีการอนุญาตถูกต้องหรือไม่

จากนั้น น.ส.ศิริกัญญาและคณะ เดินทางต่อไปยังศูนย์บัญชาการช่วยเหลือผู้ประสบภัย ร่วมรับฟังและประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พูดคุยกับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ที่พักอาศัยและทรัพย์สินเสียหาย ร่างกายได้รับบาดเจ็บ โดยน.ส.ศิริกัญญากล่าวว่า ขณะนี้ประชาชนที่อาศัยบริเวณพื้นที่ลาดชันใช้ชีวิตอย่างหวาดผวา สิ่งที่ต้องการคือการแจ้งเตือนที่แม่นยำ เพราะขณะนี้ไม่รู้ว่าเหตุจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไร ซึ่งทางนายกเทศมนตรีตำบลกะรนกล่าวว่าเครื่องตรวจวัดการเคลื่อนตัวการตรวจจับมวลดินที่มีอยู่ในขณะนี้เป็นของกรมทรัพยากรธรณีซึ่งไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อสอบถามถึงสาเหตุทราบว่าไม่มีงบประมาณซ่อมบำรุง จึงเห็นว่าหากไม่สามารถดูแลได้ ก็ควรโอนมาให้ท้องถิ่นจัดการ

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า นอกจากเรื่องระบบแจ้งเตือนภัยที่ต้องผลักดันต่อเพื่อลดความเสี่ยงของประชาชน อีกเรื่องที่ต้องพิจารณาต่อไปคือการเยียวยา ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ แต่เนื่องจากค่าครองชีพของจังหวัดภูเก็ตค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น เช่นค่าเช่าบ้านตามหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ.2563 ระเบียบกระทรวงการคลัง ให้แค่ 1,800 บาทต่อเดือน เพียง 2 เดือน ซึ่งสำรวจในภูเก็ตแล้ว ค่าเช่าบ้านเริ่มต้นที่ 5,000 บาท จึงจำเป็นต้องแก้ไขระเบียบให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย

ขณะที่นายฐิติกันต์ ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า จะนำเรื่องนี้เข้า กมธ.ที่ดินฯ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน ไม่ให้เรื่องเงียบหาย.