เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 27 ส.ค. ร.ต.ท.อนุวัฒน์ สำราญ รองสว.(สอบสวน) สภ.เมืองราชบุรี ได้รับแจ้งเหตุไฟไหม้โกดังเก็บของเลขที่ 83/69 ภายในหมู่บ้านวังทอง ซอย 1 หมู่ 10 ต.ดอนตะโก อ.เมือง จึงรายงานให้ พ.ต.อ.ทรงวุฒิ เจริญวิชยเดช ผกก.สภ.เมืองราชบุรี ได้รับทราบก่อนจะประสานขอรถน้ำดับเพลิงของ อบต.ดอนตะโก ให้เข้าไปช่วยทำการฉีดน้ำดับเพลิง ก่อนจะเดินทางไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิปฐมบรมราชานุสรณ์

ที่เกิดเหตุอยู่กลางชุมชน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงต้องเร่งทำการฉีดน้ำดับไฟที่กำลังลุกไหม้อย่างรุนแรง รวมทั้งมีกลุ่มควันไฟสีดำปกคลุมไปทั่วบริเวณ จึงได้ประสานขอรถน้ำจากพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งเทศบาลเมืองราชบุรี อบจ.ราชบุรี เทศบาลตำบลหินกอง อบต.เจดีย์หัก อบต.ห้วยไผ่ และรถน้ำของกองทัพบกให้เข้ามาช่วยทำการระดมฉีดน้ำ ซึ่งพบว่าโครงสร้างของอาคารนั้นเริ่มทรุดตัว เนื่องจากเหล็กโครงหลังคาและกำแพงนั้นโดนความร้อนนานจนทำให้ตัวเหล็กบิดผิดรูป เจ้าหน้าที่จึงต้องกันผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปด้านใน เพราะเกรงว่าตัวอาคารจะถล่มลง

นอกจากนี้ด้านในอาคาร ได้รับแจ้งว่ามีอุปกรณ์พลาสติกทั้งถ้วย แก้ว หลอด โฟม ถุงพลาสติกและลังน้ำมันพืชจำนวนมาก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี จึงทำให้การดับไฟนั้นเป็นไปค่อนข้างยาก เจ้าหน้าที่ต้องประสานขอรถโฟมในพื้นที่ใกล้เคียงให้มาช่วยทำการดับไฟ แต่ยังต้องใช้น้ำฉีดหล่อเลี้ยงตัวอาคารไว้ตลอดเวลาเพื่อให้คลายความร้อน ใช้เวลานานกว่า 1 ชั่วโมงเพลิงจึงสงบ แต่ก็ยังต้องคอยฉีดน้ำหล่อเลี้ยงไว้ โดยมีนายจำนงค์ จันทร์วงศ์ หัวหน้าปลัดอำเภอฝ่ายความมั่นคง อ.เมือง และนายวสันต์ กลิ่นสุคนธ์ นายก อบต.ดอนตะโก มาคอยช่วยดูแลเรื่องของการดับเพลิง

จากการสอบถามชาวบ้านในบริเวณใกล้เคียงทราบว่า โกดังแห่งนี้เก็บอุปกรณ์ในการทำเบเกอรี่ไว้จำนวนมาก และช่วงเกิดเหตุก็ไม่มีใครอยู่ด้านในโกดังเพราะประตูโกดังนั้นปิดล็อกกุญแจ ส่วนเจ้าของโกดังนั้นขายอุปกรณ์ทำเบเกอรี่อยู่ในตลาดราชบุรี ซึ่งเพลิงที่ลุกไหม้นั้น ชาวบ้านบอกว่าเห็นลุกไหม้มาจากด้านใน แต่ไม่สามารถเข้าไปดับได้เพราะประตูล็อกกุญแจ จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยงัดประตูและฉีดน้ำดับเพลิงดังกล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่าสาเหตุของการเกิดเพลิงไหม้ในครั้งนี้น่าจะเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร เพราะไหม้จากด้านในตัวอาคารออกมาด้านนอก ส่วนมูลค่าความเสียหายซึ่งรวมทั้งสิ่งของที่อยู่ด้านในและตัวอาคารน่าจะมากกว่า 10 ล้านบาท แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะได้เข้าตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดเหตุเพลิงไหม้ โดยกันพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่อันตรายห้ามใครเข้าไปด้วย.