เมื่อเวลา 21.00 น.วันที่ 22 ส.ค.ที่สยามพารากอน นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามช่วงการแสดงวิสัยทัศน์ “Vision For Thailand ‘ โดยพิธีกรถามนายทักษิณว่า 17 ปีที่ออกประเทศไทยไปและกลับมาเมื่อปีที่แล้ว ได้ตกลงมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นตัวประกันว่าจะทำอะไรให้กับประเทศไทยหรือไม่ และ มีดีลอะไรไว้กับใคร หรือไม่ นายทักษิณ ตอบว่า ไม่มีใครมาดีล ไม่มีใครกล้าดีล แต่ว่าก็ต้องยอมรับว่าตนรักบ้านเมือง และคิดถึงหลานเวลาเขามาหา และเขากลับแล้วก็น้ำตาตกทุกครั้ง จึงมีความรู้สึกว่าอยากจะกลับ เอาละไปตายเอาดาบหน้า สุดท้ายก็ตัดสินใจ ประสานกันกับรัฐบาลให้เขารู้ สมัยนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ให้ท่านรู้ว่าจะกลับ ก็เลยประสานให้เขาเตรียมการ เสร็จแล้วก็ถือว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิต ตนก็ต้องสำนึกว่าสิ่งที่ตนได้รับก็ต้องมีหน้าที่ตอบแทนทุกอย่างให้บ้านเมือง และหน้าที่ที่จะต้อง จงรักภักดีตลอดไป ทำให้ตนได้มา ได้กลับมาเป็นคนไทยอีกครั้ง

เมื่อถามต่อว่าหลังจากกลับมา ตอนนี้เป็นประชาชนคนไทยเต็มร้อย และบริสุทธิ์ คิดว่าตัวเองอยากจะทำอะไรที่สุดสำหรับประเทศไทย นายทักษิณ ตอบว่า ก็เป็นหน้าที่ ตนเป็นอดีตนายกฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ และพี่น้องคนไทยหลายคนก็ยังมีความผูกพันอยู่กับตนบ้าง ตนก็ถือว่าเป็นหน้าที่ต้องตอบแทนบ้านเมือง อย่างสุดฝีมือ ในขณะที่สมองเรายังดี ความจำเรายังมีอยู่ และก็ผ่านประสบการณ์เห็นโลกมาเยอะ ก็ต้องเป็น พระเอกหนัง “โลกทั้งใบให้นายคนเดียว”ซึ่งพิธีกรสอบถามนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายทักษิณ ตอบกลับว่า “นายประเทศไทย”

เมื่อถามอีกว่า การเมืองไทยตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะหรือไม่ นายทักษิณ ตอบว่า การเมืองไทยเปลี่ยนไปเยอะ เพราะหลังจากการปฏิวัติครั้งแรกกับครั้งที่สอง การร่างรัฐธรรมนูญมีเจตจำนงชัดเจนว่าต้องการให้ การเมืองอ่อนแอ เพราะกลัวการเมืองแข็งแรงเหมือนสมัยที่ตนเป็นนายกฯ ซึ่งไม่เคยมีประวัติศาสตร์ว่าเลือกตั้งชนะรอบ 2 และได้มาถึง 377 เสียง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น ซึ่งตอนนั้นถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการรัฐสภา ต้องถือว่าเป็นประชาชนเผด็จการ เพราะประชาชนเป็นคนเลือกมา และถึงตอนนี้ยังมองว่ารัฐธรรมนูญยังเป็นปัญหาจะต้องแก้เยอะ วันนี้ฝ่ายประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งแข็งแรงและสามัคคีกันมากพอสมควรถึงเวลาที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้ประชาธิปไตยกลับคืนสู่คนไทย

นายทักษิณ กล่าวด้วยว่าอดีตพรรคก้าวไกลเคยถามตนว่า “พรรคจะถูกยุบหรือไม่ ซึ่งผมบอกว่า ผมแค่โดนหมั่นไส้อยู่เมืองนอก 17 ปี โดนยุบไป 3 พรรค แล้วของคุณจะเหลือหรอ” ส่วนรัฐบาลสภาวะปัจจุบัน ที่เป็นรัฐบาลข้ามขั้ว แล้ววันนี้เปลี่ยนจากนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกศ มาเป็นน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯส่งผลให้ป่าสะเทือนเลื่อนลั่น จะทำให้รัฐบาลเดินไปอย่างมีเสถียรภาพอย่างไร นายทักษิณ กล่าวว่า เรื่องเสถียรภาพไม่มีปัญหาเลย แต่เรื่องข้ามขั้วไม่ข้ามขั้ว บ้านเราชอบบัญญัติศัพท์ และพูดติดปากกันเลย บ้านเราเป็นระบบรัฐสภาใครรวมเสียงได้ก่อนก็จะตั้งรัฐบาล แต่ตามมารยาทให้สิทธิคนที่ได้ที่หนึ่งก่อน แต่ถ้าคนที่หนึ่งเขาไม่ได้ก็เป็นอันดับสอง เป็นคนรวบรวมเสียง จึงไม่ใช่การข้ามขั้วแต่เป็นระบบรัฐสภา

เมื่อถามต่อว่ามั่นใจว่ารัฐบาล น.ส.แพทองธาร จะมีความมั่นคงใช่หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า มั่นใจ เพราะ สส.ในฝั่งรัฐบาลมี 300 กว่าเสียง ไม่มีอะไรที่เสี่ยง และการที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทยตั้งใจทำ และทีมงานที่รองรับด้านหลังน่าจะผลักดันได้ดี

เมื่อถามถึงคำแนะนำต่อหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในการจะเป็นพรรคอันดับหนึ่งชนะพรรคประชาชนได้ นายทักษิณ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งหน้ามีโอกาสสูงพรรคเพื่อไทยจะเป็นที่ 1 การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หากหัวหน้าพรรคไม่ลาคลอดแล้วเดินหน้าหาเสียงไปเรื่อยๆ ตอนนั้นลาคลอดไป 10 กว่าวัน ทำให้คะแนนนิยมตก หากหาเสียงจนจบ ตนว่าไม่แพ้มั่นใจ เพราะเราสำรวจตลอด

เมื่อถามย้ำว่า อะไรที่ทำให้มั่นใจว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยจะชนะพรรคประชาชน นายทักษิณ กล่าวว่า ของมันเคยชนะมาแล้ว ซึ่งหลักของพรรคก้าวไกลหรือพรรคประชาชนเขาต้องการความเท่าเทียม ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในบริบทของสังคมไทย ดังนั้น เขาจึงจะอยู่ในบริบทของการเมือง ส่วนของพรรคเพื่อไทยอยู่ในบริบทของการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อสร้างโอกาสที่เท่าเทียมของประชาชน เราเน้นโอกาส เขาเน้นสถานะ ไม่เหมือนกัน ซึ่งตนใช้แบบนี้มาตั้งแต่ปี 2541 ตนชนะด้วยคำเดียวคือโอกาส วันนี้ไม่ใช่คนไทยงอมืองอเท้าหรือไม่ฉลาด แต่เป็นเรื่องของโอกาส

เมื่อถามว่า คนที่อยู่ด้วยกันมีประชาธิปัตย์หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ประชาธิปัตย์ก็มาร่วม เห็นหรือไม่ให้มางานนี้ด้วย ตนมองว่าวันนี้ประเทศไทยต้องสามัคคีกัน เราแบ่งหน้าที่ แต่เราไม่ได้เป็นศัตรูกัน

เมื่อถามอีกว่า ตั้งแต่กลับประเทศไทยมา 1 ปี ได้คุยกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)บ้างหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ก่อนมาเคยโทรศัพท์คุยผ่านคนอื่น เป็นเรื่องที่จะร่วมรัฐบาลกัน ถามสารทุกข์สุขดิบ แต่ไม่เคยพูดคุยกัน ไม่ได้เจอกัน เขาไม่รู้จักตนแล้ว รู้จักกันตั้งแต่เป็นแม่ทัพภาคที่หนึ่งจนเป็น ผบ.ทบ.

เมื่อถามย้ำว่า จุดไหนที่ทำให้มีระยะห่าง นายทักษิณ กล่าวว่า ตอนนั้นพล.อ.ประวิตร เกษียณ เขาอยากไปเป็นประธาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)แล้วตนก็บ่นว่าทหารจะไปเป็นประธาน ป.ป.ช. ไม่รู้กฎหมายหรือ ตนพูดแค่นี้ ก็มีเพื่อนไปบอกเขา เขาเลยโกรธตน จนถึงวันนี้ก็ไม่ได้คุยกัน แล้วทำไมตนต้องไปคุยกับเขา แล้วหลังจากนั้นตนก็โดนแทง ส่วนคิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะเป็นตัวแปรสำคัญหรืออุปสรรคสำหรับรัฐบาลแพทองธารหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่เป็น เพราะมีเสียงพอ

เมื่อถามต่อว่า มีอะไรอยากบอกพล.อ.ประวิตร หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า เราก็อายุมากกันแล้ว ก็เข้าฟังธรรมะสักหน่อย จิตใจจะได้สงบ ตนอยู่เมืองนอกมา 17 ปี มีเรื่องราว มีคดีมากมาย ทีแรกก็โกรธ ทีหลังก็เฉยๆ ตอนหลังก็ขำมีอีกหนึ่งคดี

เมื่อถามอีกว่าจะวางระยะห่างกรณีที่มีนักการเมืองหรือนักธุรกิจเข้าหาอย่างไรนั้น นายทักษิณ กล่าวว่า ตนมีนิสัยเป็นอาจารย์เก่า ชอบสอนหนังสือชอบให้ความรู้ ใครมาปรึกษาก็ยินดี แต่ถ้ามาวิ่งเต้นไม่เกี่ยวกับตน ไม่ต้องมา บ้านตนเจอแต่เพื่อนฝูง

ส่วนมองหลังจากนี้มีโอกาสจะเกิดรัฐประหารขึ้นอีกหรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า ไม่มี วงจรนั้นหายไปแล้ว เชื่อว่านายกฯ แพทองธารจะปลอดภัยจากรัฐประหาร 100 เปอร์เซ็นต์.