เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ที่รัฐสภา น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะเปลี่ยนเกณฑ์การแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต เป็นการเติมเงินสดลงในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่า ต้องให้ ครม.ใหม่คอนเฟิร์ม ผ่านการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา แต่ทางออกทางนี้ก็เป็นทางออกที่เราได้มีการพูดกันมาสักพักหนึ่งแล้ว ในการที่จะต้องใช้เงินจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 ซึ่งไม่สามารถใช้ข้ามปีได้ ภายใน 30 ก.ย. ฉะนั้น ทางออกที่จะต้องแจกให้กับกลุ่มเปราะบางก่อน โดยใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 คือการจ่ายเป็นเงินสด จะเป็นทางออกเดียวที่จะสามารถใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมกับงบประมาณประจำปีบางส่วนได้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่แปลกใจเท่าไร ที่รัฐบาลจะมีตัวเลือกนี้อยู่ในมือ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราพอคาดเดาได้

เมื่อถามว่า เมื่อนำไปแจกเช่นนี้แล้วคิดว่าสุ่มเสี่ยงหรือจะกระตุ้นได้จริงหรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า หากเม็ดเงินที่ใส่ในระบบน้อยลง ผลของการกระตุ้นก็อาจจะน้อยลงตามไปด้วย และสำหรับกลุ่มเปราะบางจะมีผลใช้จ่ายมากกว่าคนที่มีรายได้มากอยู่แล้ว เพราะได้เท่าไรใช้จนหมด ในขณะที่คนที่มีรายได้มาก อาจจะใช้บางส่วนและเก็บบางส่วน ฉะนั้น ก็จะมีผลต่อการกระทบเศรษฐกิจ 1 บาทสูงกว่าในกรณีที่จ่ายทุกคน รวมถึงจ่ายคนรวยด้วย แต่วงเงินที่น้อยลงก็อาจจะทำให้ผลต่อเศรษฐกิจน้อยลงด้วย แต่ทั้งนี้ก็ยังไม่ทราบว่าสุดท้ายแล้วเงินงบประมาณปี 68 จะถูกนำมาใช้สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในรูปแบบใด

เมื่อถามต่อว่า หากวงเงินน้อยลงก็จะไม่ส่งผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าที่ควรใช้หรือไม่ น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจยังต้องรอดูก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่เราเห็นด้วยคือจำเป็นที่จะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากต้องรอดูจนถึงไตรมาส 4 หรือรอไปถึงไตรมาส 1 ของปีถัดไป ในกรณีที่ไม่สามารทำให้ระบบการชำระเงินแล้วเสร็จได้ก็อาจจะทำให้ช้าเกินควร ฉะนั้นการเลือกจ่ายเฉพาะกลุ่มเปราะบางก่อน จะทำให้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ ณ วันนี้โดยที่ไม่ต้องรอ

เมื่อถามว่า หากกลับมาจ่ายเงินสดถือว่าฟุ่มเฟือยหรือไม่ เพราะมีการทำแอปทางรัฐแล้ว น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า แอปที่ทำมาใหม่ ระบบการชำระเงินต่างๆ แน่นอนว่าทำเพื่อรองรับสำหรับ 50 ล้านคนที่มีสิทธิจะได้เงินตามเกณฑ์ดิจิทัลวอลเล็ต แต่หากเหตุผลและความจำเป็นของแหล่งที่มาของเงินไปทางนั้นไม่ได้ ก็ต้องยอมรับและหาทางออกเรื่องนี้ และแอปทางรัฐก็ยังใช้ได้หลายวาระจะไม่สูญเปล่า แต่เรื่องของการชำระเงินนั้น ต้องรอให้ทาง ครม.ใหม่ มายืนยันว่าจะยังคงใช้ผ่านดิจิทัลวอลเล็ตหรือไม่ อย่างไร

“ตอนนี้ความไม่แน่นอนมีอยู่สูงมากสำหรับโครงการนี้ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของการแจกเงินสดให้กับกลุ่มเปราะบางเท่านั้น แต่วันนี้คณะกรรมมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 กำลังจะมีการลงมติ เพื่อเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท เพื่อไปใส่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยการที่จะไปตัดลดงบประมาณที่ใช้ชำระหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ธนาคารออมสิน เอ็กซิมแบงก์ และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หากยังจำกันได้ เขาบอกว่าจะบริหารจัดการงบปี 68 อีก 1.32 แสนล้านบาท ก็จะมาจากตรงนี้ด้วย แม้จะยังไม่ครบตามจำนวน 1.32 แสนล้านบาท แต่เราก็ไม่เห็นด้วย ที่จะไปตัดลบงบชำระหนี้ของธนาคารรัฐ เพราะเงินจำนวนนี้เป็นเงินที่ต้องชำระหนี้วาระแรกตามมาตรา 28 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงิน การคลัง และเราก็ติดหนี้ธนาคารรัฐมาอย่างยาวนาน บางโครงการก็ยังไม่มีการใช้หนี้ แต่มาวันนี้จะมีการปรับลดงบที่จะใช้ชำระหนี้“ น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ด้านนายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีการตัดลดงบสุ่มเสี่ยงจะผิดกฎหมายหรือไม่ ว่า ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังเมื่อรัฐบาลสั่งให้ธนาคารแห่งรัฐไปดำเนินนโยบายจนเสร็จสิ้นแล้ว จะต้องมีการตั้งชำระหนี้คืน ที่ผ่านมา ทุกรัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างเคร่งครัดตามเจตนารมณ์ แต่วันนี้อยู่ๆ จะมาเปลี่ยนแปลงจำนวน 3 หมื่นกว่าล้านบาท เพื่อนำมาใส่ในงบกลาง ที่ยังไม่มีมติ ครม. ด้วยซ้ำ รวมถึงความชัดเจนและนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ จึงคิดว่ามีความเสี่ยงที่จะขัดต่อวินัยการเงินการคลัง และจะขอความเห็นใน กมธ.งบฯ วันนี้ เพื่อความชัดเจน เพราะหากปล่อยไป อาจทำให้กฎหมายวินัยการเงินการคลังไม่มีความหมายอีกต่อไป

เมื่อถามว่า จะมีวิธีสกัดกั้นก่อนการโหวตหรือไม่ นายวรภพ กล่าวว่า ตามสัดส่วนของ กมธ. คงยึดเสียงข้างมากเป็นหลัก หากมีการโหวตกัน เสียงข้างน้อยก็คงไม่ชนะ แต่ด้วยเพราะเราอยากรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย เราจึงไม่อยากปล่อยให้เกิดพฤติกรรมอย่างนี้ต่อไป

เมื่อถามว่า หากมีมติเห็นชอบไปแล้วฝ่ายค้านจะมีการยื่นตรวจสอบหรือไม่ นายวรภพ กล่าวว่า คงจะต้องหารือกันภายในพรรค เพราะเรื่องนี้เป็นหัวใจที่สำคัญ แต่เจตนาตนค่อนข้างไม่เห็นด้วย ทั้งนี้ เราไม่อยากให้การใช้อำนาจโดยเสียงข้างมากทำอะไรก็ได้ หรือตีความกฎหมายให้เป็นคุณกับรัฐบาลเอง และไม่สนใจการมีอยู่ของกฎหมายวินัยการเงินการคลัง

เมื่อถามว่า วันนี้มีการเปลี่ยนมือจากนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี เป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แล้วอยากฝากอะไรหรือไม่ นายวรภพ กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่เราเคยเสนอไป เช่นเงื่อนไขที่อยากให้รายย่อยเข้ามาได้ประโยชน์มากที่สุด ซึ่งหากยังไม่มีการเปลี่ยนเงื่อนไข ผลประโยชน์ทั้งหมดก็จะไปตกกับร้านค้าสะดวกซื้อ เจ้าสัวขนาดใหญ่ที่จะได้ประโยชน์ ขณะที่ร้านค้าขนาดย่อย ก็จะเข้าร่วมโครงการน้อยกว่าที่ควรจะเป็น และอยากฝากว่าหากจะกระตุ้นเศษฐกิจก็ให้คำนึงถึงร้านค้ารายย่อย ไม่ใช่นึกถึงร้านค้าสะดวกซื้ออย่างเจ้าสัว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวเสริมว่า “รีบแถลงนโยบายเพื่อให้ความไม่แน่นอนจบลง และตอนนี้มีข่าวลือเข้ามาเยอะว่า จะใช้งบประมาณทั้งปี 67 และปี 68 ทุกอย่างอยู่ในภาวะที่ชะงักงันไปหมด เพราะยังไม่รู้ว่านโยบายใหม่ของรัฐบาลจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะถอย เดี๋ยวจะเดินหน้า งงไปหมดแล้ว จึงขอให้รีบมาแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเพื่อให้เกิดความชัดเจน”.