จากกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ พ.ต.ต.สิริวิชญ์ ชาญเตชะสิทธิ์กุล ผอ.กองคดีการค้ามนุษย์ ดำเนินการสืบสวนสอบสวน ขยายผลและติดตามจับกุมผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 301/2565 กรณี ขบวนการค้ามนุษย์ที่มีหน้าที่ในการควบคุมผู้เสียหายบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์หลอกลวงบุคคลอื่นที่ประเทศกัมพูชา โดยปรากฏรายชื่อผู้ต้องหาสำคัญ คือ นายแสนดี หรือเสี่ยก้อง อายุ 44 ปี และพวก
ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 21 ส.ค. กรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยส่วนประชาสัมพันธ์ ได้รายงานผลการปฏิบัติงานสืบสวนจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาในคดีพิเศษที่ 301/2565 ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ดังนี้ เมื่อวันที่ 19 ส.ค.ที่ผ่านมา ชุดปฏิบัติการที่ 1 ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว นำโดยนายวุฒิไกร ศรีธวัช ณ อยุธยา ผอ.ส่วนสะกดรอยและการข่าว ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) จับกุมนายแสนดี (สงวนนามสกุล) ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญาที่ 3797/2567 ลงวันที่ 15 ส.ค. 67 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน สมคบค้ามนุษย์จากการบังคับใช้แรงงาน ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่น ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อพาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร โดยเจ้าหน้าที่จับกุมนายแสนดีได้ที่บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร จากนั้นได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาและสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รวมถึงแจ้งว่าต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมตัวจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ให้ผู้ต้องหาได้ทราบ ถัดไปจึงได้ควบคุมตัวนายแสนดี ส่งมอบให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ผู้รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ระบุว่า เมื่อปี 2565 ได้มีผู้เสียหายเดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่าถูกหลอกให้ไปทำงานที่บ่อนกาสิโน ประเทศกัมพูชา แต่เมื่อไปถึงกลับถูกบังคับให้ทำงานเป็นพนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ทำการต่อสายหลอกเงินผู้คน ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่มีทั้งชาวไทยและชาวเวียดนาม หากใครไม่สามารถทำงานได้ตามเป้าหมาย ก็จะบังคับให้อดอาหาร ไปจนถึงลงมือทำร้ายร่างกาย อีกทั้งหากแรงงานคนใดต้องการเดินทางกลับประเทศก็จะต้องหาเงินมาจ่ายค่าตัว หรือค่าไถ่ จึงจะสามารถเดินทางกลับประเทศได้ ซึ่งพฤติการณ์ของนายแสนดี หรือเสี่ยก้อง ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ที่มีหน้าที่ในการควบคุมตัวผู้เสียหาย หรือเหยื่อ โดยบังคับให้ทำงานเป็นสแกมเมอร์หลอกลวงบุคคลอื่น ต่อมาเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอาญาออกหมายจับกลุ่มขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว จำนวน 6 ราย พร้อมประสานงานให้ชุดสืบสวนสะกดรอยและการข่าว กรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามจับกุมตัวมาได้แล้วบางส่วน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ยังสามารถติดตามจับกุมตัว “น.ส.บุญญิสา หรือ เจ๊ปุ้ย” อายุ 37 ปี ผู้บริหารระดับสูงของขบวนการดังกล่าว และขยายผลทราบว่า “นายแสนดี” เป็นสามีของ “น.ส.บุญญิสา” มีพฤติการณ์กระทำผิดร่วมกัน ทั้งนี้ จากการสอบสวนนายแสนดี เบื้องต้นให้การปฏิเสธ อ้างว่าตนก็เป็นเหยื่อถูกหลอกไปทำงานเป็นพนักงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์เช่นเดียวกับผู้เสียหายรายอื่น ๆ โดยอ้างว่าคนที่เป็นตัวการสำคัญจริง ๆ ของขบวนการก็คือ ”นายปอ หนวดงาม”
คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ระบุอีกว่า ภายหลังจากที่ได้รับตัวนายแสนดี และแจ้งข้อกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดฐานสมคบค้ามนุษย์จากการบังคับใช้แรงงาน ร่วมกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปข่มขืนใจผู้อื่น ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อพาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร โดยมีพฤติการณ์สมคบกันกระทำการ โดยการแบ่งหน้าที่กันทำในการหลอกลวง ลักลอบนำเข้า และส่งออกกลุ่มผู้ใช้แรงงานชาวไทยเพื่อนำไปแสวงหาประโยชน์ในลักษณะบังคับใช้แรงงาน ณ ประเทศกัมพูชา จากนั้น พ.ต.ท.ปริญญา กฤษณา หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้นำตัวนายแสนดีไปฝากขังต่อศาลอาญาทันที
ทั้งนี้ การดำเนินการในการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีพิเศษ เป็นไปตามข้อสั่งการของ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่กำหนดให้ศูนย์สืบสวนสะกดรอยและการข่าว ซึ่งเป็นหน่วยงานขึ้นตรงการบังคับบัญชาจัดชุดปฏิบัติการติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ โดยเฉพาะหมายจับที่ใกล้ขาดอายุความ เพื่อนำตัวผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ยังหลบหนี เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป.