นายสุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดภายว่า จากสถานการณ์ฝนตกหนักในช่วงวันที่ 5-14 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดอุทกภัยใน 16 จังหวัด ได้แก่ ภาคเหนือ 7 จังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จังหวัด ภาคกลาง 2 จังหวัด ภาคตะวันออก 2 จังหวัด และภาคใต้ 3 จังหวัด ซึ่งปัจจุบันยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัย 4 จังหวัด ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน เชียงราย ลำปาง และปราจีนบุรี สำหรับการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงอุทกภัยจากปริมาณฝนตกสะสมสูงสุดรายอำเภอ มากกว่า 200 มิลลิเมตร ช่วงวันนี้ ถึง 16 ส.ค. 67 ได้แก่ อ.ชะอวด อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช, อ.รัษฎา จ.ตรัง และ อ.เบตง จ.ยะลา โดย สทนช. ยังคงเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากคาดการณ์ว่าในช่วงวันที่ 16-22 ส.ค. 67 จะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง จึงได้ออกประกาศ สทนช. ฉบับที่ 10/2567 แจ้งเตือนเฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันออก เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมความพร้อมรับมือเป็นการล่วงหน้า

สำหรับแนวโน้มของพายุที่จะเข้าสู่ประเทศไทย กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ว่า อาจมีพายุ 1-2 ลูก แต่ด้วยดัชนีสมุทรศาสตร์ คือ ค่าระดับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิผิวน้ำทะเลบริเวณมหาสมุทรแปซิฟิกฝั่งประเทศไทย ลดลงไปจากค่าปกติ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก ส่งผลให้การคาดการณ์สภาวะลานีญามีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จึงได้กำชับให้ กรมอุตุนิยมวิทยา และ สสน. ประเมินสภาพอากาศและสภาวะลานีญา ให้มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้สามารถวางแผนบริหารจัดการน้ำได้อย่างสมดุล

นอกจากนี้ ยังได้กำชับให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติตาม 10 มาตรการฤดูฝน ปี 67 อย่างเคร่งครัด เร่งสำรวจจุดเปราะบางแนวคันกั้นน้ำ ซ่อมแซมอาคารชลศาสตร์และเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้มีความพร้อมใช้งาน พร้อมเฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำ 64 แห่ง ที่ปริมาณน้ำสูงกว่าเกณฑ์เก็บกักสูงสุด เร่งพร่องน้ำเพิ่มพื้นที่กักเก็บน้ำรองรับสถานการณ์ฝนในช่วงปลาย ส.ค.-ก.ย. นี้ และเตรียมกักเก็บน้ำไว้เพื่อเป็นน้ำต้นทุนในช่วงฤดูแล้งที่จะถึงด้วย รวมทั้งแจ้งเตือนข้อมูลสถานการณ์น้ำให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่า การบูรณาการตามมาตรการรับมือฤดูฝน จะช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยปีนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ