งานเครื่องลงยาสี เป็นงานศิลปหัตถกรรมไทย ที่ช่างฝีมือสร้างสรรค์ไว้บนเครื่องใช้ เครื่องประดับ ที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ไทย เป็นงานฝีมือที่พัฒนามาพร้อมกับการทำเครื่องทอง เครื่องเงินในสมัยโบราณที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปี โดดเด่นด้วยความวิจิตรบรรจงของเส้นสายลายไทย แต่งแต้มด้วยยาสีหลากสีสัน ผสมผสานกับจินตนาการของช่างฝีมือนับเป็นงานศิลปหัตถกรรมที่มีคุณค่า สร้างความงดงาม มีชีวิตชีวาบนเครื่องใช้ เครื่องประดับหลากหลายชนิด 

ครูเอกฉันท์ จันอุไรรัตน์ เป็นอีกหนึ่งท่านที่ได้รับการเชิดชูเกียรติจากสถาบันส่งเสริมศิลปหัตถกรรมไทย (องค์การมหาชน) หรือ สศท. ให้เป็นครูช่างศิลปหัตถกรรม ประจำปี 2567 ประเภทงานโลหะ เครื่องลงยาสีร้อนแบบโบราณ เป็นหนึ่งในช่างฝีมือของไทยที่ร่วมส่งต่อองค์ความรู้ในงานศิลปหัตถกรรมอันวิจิตร งดงาม มีความประณีต และทรงคุณค่าของไทย มิให้สูญหายไปตามกาลเวลา 

ครูเอกฉันท์ เผยว่า ด้วยใจรักในงานศิลปหัตถกรรม และมีความผูกพันที่มุ่งมั่นจะสานต่อมรดกทางภูมิปัญญาจากคุณแม่ ครูบุญมี จันอุไรรัตน์ ซึ่งเป็นครูศิลป์ของแผ่นดิน ปี 2561 จึงได้มุ่งมั่นสร้างสรรค์ชิ้นงานให้เป็นที่รู้จัก และไม่สูญหายไปตามกาลเวลา โดยได้สานต่อการทำวิสาหกิจชุมชนเครื่องลงยาสีโบราณ ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นแหล่งบ่มเพาะเทคนิควิธีการทำเครื่องลงยาสีให้เกิดเป็นงานหัตถกรรมที่สร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้กับคนทำหัตถกรรม โดยกรรมวิธีการทำการลงยาสีร้อนแบบโบราณต่างจากการลงยาสีแบบอื่น ๆ เนื่องจากการลงยาสีร้อน ต้องนำยาสีหินที่นำมาบดให้ละเอียดแล้วนำมาเผาลงในชิ้นงานที่เขียนลายหรือแกะลายไว้ เมื่อหินละลายฝังเข้าไปในโลหะหลังจากเย็นตัวก็จะติดอยู่ในเนื้อชิ้นงานเรียกว่าการลงยาสีร้อน ซึ่งต่างจากการลงยาสีในปัจจุบันที่ใช้สีกระป๋อง หรือสีเรซิ่นมาทาลงบนชิ้นงานเมื่อแห้งก็จะติดลงบนชิ้นโลหะ โดยการลงยาสีร้อนจะมีความคงทนกว่าและสีจะไม่เพี้ยน 

โดนปกติ การลงยาสีร้อนจะทำบนวัสดุผิวเรียบ แต่ชิ้นงานที่ทำไม่ได้ทำเฉพาะเครื่องประดับที่เป็นลายเรียบ ๆ ยังมีงานที่เป็นกล่องและวัสดุต่าง ๆ ซึ่งทำให้การลงยาสีต้องใช้ความอดทน มีสมาธิ ควบคุมไม่ให้สีไหลเลอะไปทั่วชิ้นงาน หรือสีไม่สม่ำเสมอ ขั้นตอนที่ยากไปกว่านั้น คือ การนำหินยาสี 9 สี มาลงในชิ้นงานชิ้นเดียว เรียกว่า “การลงยาแบบนพเก้า” เนื่องจากหินแต่ละสีมีจุดหลอมเหลวแตกต่างกันบางสีละลายเร็ว บางสีละลายช้า ถ้าเผาโดยไม่มีประสบการณ์ หินบางสีก็จะไหม้ขณะที่บางสียังไม่ละลาย เทคนิคคือการค่อย ๆ ไล่ความร้อนจากสีที่ความร้อนสูงไปถึงสีที่ความร้อนต่ำจึงจะได้สีที่มีความหลากหลาย และออกมาอย่างประณีต งดงาม 

ปัจจุบัน ได้ปรับประยุกต์งานหัตถกรรมเครื่องลงยาสีร้อนออกมาหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ เครื่องประดับ ตลอดจนของตกแต่ง เพราะมุ่งหวังอยากให้งานหัตถกรรมด้วยกรรมวิธีแบบโบราณ สามารถเข้าไปอยู่ในชิ้นงานที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะช่วยให้งานศิลปหัตถกรรมที่เป็นมรดกทางภูมิปัญญาของไทยไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา