สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 ส.ค. ว่านายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวถึงการที่นายอิตามาร์ เบน กวีร์ รมว.ความปลอดภัยแห่งชาติอิสราเอล ยังคงเดินทางไปที่มัสยิดอัล-อักซอ ซึ่งตั้งอยู่ที่เขตเมืองเก่า ทางตะวันออกของนครเยรูซาเลม “อยู่เป็นระยะ” และล่าสุดนำชาวยิวจำนวนมากเข้าไปในพื้นที่ “สะท้อนการไม่เคารพอย่างร้ายแรง” ต่อ “สถานะ” ของศาสนสถานแห่งดังกล่าว
ขณะเดียวกัน บลิงเคนเรียกร้องนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำรอยอีก
ด้านรัฐบาลอิสราเอลยังไม่มีปฏิกิริยาอย่างเป็นทางการ ต่อท่าทีของบลิงเคน ซึ่งถือว่าตรงไปตรงมาที่สุดในเรื่องนี้ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ทำเนียบนายกรัฐมนตรีอิสราเอลออกแถลงการณ์ ว่าสถานะของมัสยิดอัล-อักซอ “ยังไม่เปลี่ยนแปลง” นั่นคือ “การอนุญาตเฉพาะชาวมุสลิม” ให้เข้าสู่พื้นที่
อย่างไรก็ตาม เบน-กวีร์ ซึ่งมาจากพรรคขวาจัดของอิสราเอล กล่าวในคลิปการเดินทางเยือนมัสยิดอัล-อักซอ ครั้งล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ว่า “ต้องการให้ชาวยิวเข้าสู่มัสยิดแห่งนี้ได้เช่นกัน”
ขณะที่รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ และจอร์แดน ออกมาประณามการเยือนมัสยิดอัล-อักซอ ของรัฐมนตรีอิสราเอลอย่างหนัก ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ ส่วนรัฐบาลปาเลสไตน์แสดงความวิตกกังวล เกี่ยวกับการที่ “กลุ่มหัวรุนแรง” เข้าไปภายในมัสยิดอัล-อักซอ
อนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 2543 นายอาเรียล ชารอน ผู้นำฝ่ายค้านของอิสราเอลในเวลานั้น เดินทางไปยังมัสยิดอัล-อักซอ และเป็นหนึ่งในชนวนให้เกิดการลุกฮือครั้งใหญ่ของชาวปาเลสไตน์ เพื่อต่อต้านอิสราเอล ที่เรียกว่า “อินทิฟาดา” และยืดเยื้อจนถึงปี 2548.
เครดิตภาพ : AFP