เมื่อวันที่ 12 ส.ค. นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ว่า เป็นวาระที่สำคัญ และได้มอบหมายให้นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ ประสานงานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกัน ตนมีกำหนดการเข้าร่วมประชุมกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง (Mekong – Lancang Cooperation: MLC) ครั้งที่ 9 ระหว่างวันที่ 15-16 ส.ค. นี้ ที่ จ.เชียงใหม่ โดยตนจะเน้นย้ำความมุ่งมั่นใจการปราบปรามปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกัน

ด้านนายมาริษ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเป็นสิ่งสำคัญในการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ ทั้งการลักลอบค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ให้หมดไปได้ เพราะจำเป็นต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลกัมพูชา, สปป.ลาว, จีน และอินเดีย ต่างให้ความสำคัญ และคำมั่นที่จะทำให้เกิดการแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเป็นรูปธรรม ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศศูนย์กลางในลุ่มน้ำโขง จึงพร้อมผลักดันวาระดังกล่าวร่วมกับประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ที่กำลังจะมีการประชุมระดับรัฐมนตรีต่างประเทศในช่วงสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ที่ จ.เชียงใหม่

นายมาริษ กล่าวอีกว่า ขอขอบคุณฝ่าย สปป.ลาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายทองจัน มะนีไซ เจ้าแขวงบ่อแก้วคนใหม่ ที่ประกาศกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทุกกิจการภายในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ ถือเป็นการให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวในทุกระดับ ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าฝ่ายลาวให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าวมาก และยืนยันว่า ทางการไทย ก็พร้อมร่วมมือกับ สปป.ลาว ในระดับพื้นที่ด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ มีกำหนดเข้าร่วมกำหนดการในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ 9 ที่โรงแรมแมริออท เชียงใหม่ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 16 ส.ค. นี้ โดยนายกรัฐมนตรีจะการกล่าวสุนทรพจน์ในหัวข้อ “Towards Safer and Cleaner Mekong Lancang” นอกจากนี้ นายมาริษ และนายหวัง อี้ สมาชิกกรมการเมือง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านกิจการต่างประเทศประจำพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรมว.ต่างประเทศจีน จะมีการแถลงข่าวร่วมกันหลังการประชุมดังกล่าว

สำหรับกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ประกอบด้วยสมาชิก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือที่ริเริ่มโดยประเทศไทย ในปี 2555 เพื่อพัฒนากรอบความร่วมมือในเขตเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง เน้นให้มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำ และส่งเสริมกระบวนการพัฒนาอาเซียน