เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ที่ศาลปกครองกลาง นายศรีสุวรรณ จรรยา ผู้นำองค์กรรักชาติ รักแผ่นดิน เดินทางมาศาลปกครองเข้ายื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงการคลัง และคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ฐานใช้อำนาจโดยมิชอบ และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ตามมาตรา 9(1) (2) ของ พ.ร.บ.จัดตั้งและวิธีพิจารณาคดีปกครอง 2542 โดยขอให้ระงับโครงการ พร้อมขอสั่งคุ้มครองชั่วคราว

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า มีประชาชนบางส่วนไม่เห็นด้วยเนื่องจากเป็นโครงการที่ใช้จำนวนเงินมหาศาล ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าว หากไปใช้ในโครงการพัฒนาอื่นๆ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากกว่า แต่หากนำมาแจกเงินให้กับบุคคลที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป จะทำให้ผู้ที่ได้รับเงิน และผู้ที่ไม่ได้รับจ่ายเงิน จะต้องมาร่วมชดใช้หนี้สิน เพราะเงินดังกล่าวนอกจากจะมาจากภาษีประชาชนแล้ว ยังมาจากเงินกู้ ที่จะต้องชำระดอกเบี้ยด้วย ทั้งที่สถานภาพทางเศรษฐกิจ​ตอนนี้ทุกคนต้องแบกรับภาระหนี้ครัวเรือนสูงกว่า 70% ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงหลายหน่วยงาน ออกมายืนยันว่า การดำเนินการโครงการดิจิทัล 10,000 บาท จะทำให้เศรษฐกิจโตได้ 0.6 ถึง 0.9% เท่านั้น และเกิดในระยะเวลาที่สั้นๆ  แต่หลังจากนั้นภาระหนี้สินของประเทศก็จะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการที่รัฐบาลไม่ฟังเสียงท้วงติงของนักเศรษฐศาสตร์ และนักวิชาการ รวมถึงหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรง แต่กลับพยายามจะผลักดันโครงการอย่างถูลู่ถูกัง ทำให้หลายคนมองว่าเรื่องนี้ส่อว่าจะขัดต่อกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง และพ.ร.บ.เงินตรา รวมทั้งกฎหมายเกี่ยวกับเงินสำรองงบประมาณ หากไม่หยุดโครงการนี้ คนไทยทุกคนก็จะร่วมกันรับผิดชอบ

ตนจึงเดินทางมายื่นเพื่อขอให้ศาลสั่งระงับโครงการดังกล่าว หรือหากรัฐบาลเดินหน้าโครงการนี้ต่อ ก็ให้ไปปรับเงื่อนไขตามคำแนะนำ ของหลายองค์กร โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางคนยากคนจน ที่ถือบัตรสวัสดิการ​แห่งรัฐ ที่มีประมาณ 10 ล้านคน ซึ่งจะใช้เม็ดเงินไม่มากและไม่เป็นภาระสำหรับงบประมาณที่จะใช้ไปพัฒนาโครงการอื่นๆ

นายศรี​สุวรรณ​ กล่าวว่า แม้รัฐบาลจะมีการปรับที่มาของเงิน โดยออกเป็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี 2567 ที่เพิ่งผ่านสภา งบประมาณ 1.22 แสนล้านบาท บางส่วนเป็นเงินกู้ ไม่ใช่มาจากงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่รัฐบาลพยายามใช้เทคนิคในการสอดไส้ และอ้างว่าไม่ใช่เงินกู้ แต่ความเป็นจริงแล้วมันคือเงินกู้ ซึ่งสถาบันการเงินหลายแห่งได้ทำวิจัย เพราะว่าคนที่ได้รับประโยชน์จากโครงการนี้แท้ที่จริงแล้วอาจไม่ใช่ผู้ค้ารายเล็ก แต่จะเป็นประโยชน์ต่อร้านสะดวกซื้อ ที่กระจายตัวอยู่นับหมื่นแห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นของนายทุนใหญ่ ที่อยู่เบื้องหลัง พรรคการเมืองหรือนักการเมืองมาโดยตลอด โครงการนี้จึงอาจไม่ได้เป็นไปอย่างที่รัฐบาลได้โฆษณาชวนเชื่อมาโดยตลอด

ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จะส่งผลต่อโครงการดังกล่าวหรือไม่ นายศรี​สุวรรณ​ กล่าวว่า  หากศาลมองว่าการที่นายเศรษฐา แต่งตั้งบุคคลที่มีลักษณะ​ต้องห้ามมาเป็นรัฐมนตรี จะส่งผลให้นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี​หลุดออกจากตำแหน่งทั้งหมด ส่งผลให้โครงการต่างๆของรัฐจะต้องถูกระงับไว้ก่อน เพื่อไปฟอร์มคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ แต่หาก ครม.ชุดใหม่ยังมีแต่หน้าเดิมๆ ก็คงจะผลักดันโครงการนี้ต่อไป เพราะเป็นนโยบายของแกนนำจัดตั้งรัฐบาล หรือหากศาลรัฐธรรมนูญ​วินิจฉัย​ว่าไม่มีความผิด รัฐบาลก็จะเดินหน้าโครงการนี้ต่ออย่างแน่นอน

นายศรี​สุวรรณ​ กล่าวอีกว่า หากศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ก็จะทำให้โครงการแจกเงิน จะต้องสะดุดหยุดลงเหมือนกับกรณีที่เคยยื่นฟ้องโครงการเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งศาลปกครองก็ให้การคุ้มครองชั่วคราว จนสุดท้ายโครงการนี้ก็ต้องยุติลง