เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ศาลฎีกา สนามหลวง นางอโนชา ชีวิตโสภณ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (ก.ต.) ครั้งที่ 20/2567 มีวาระการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษาตามบัญชีรายชื่อของสำนักงานศาลยุติธรรมโดย ก.ต.เห็นชอบแต่งตั้งโยกย้าย ระดับชั้น 4 สับเปลี่ยนตำแหน่งบัญชี 3 (ผู้พิพากษาศาลฎีกา-อธิบดีผู้พิพากษา-ประธานแผนกในศาลอุทธรณ์-ประธานศาลอุทธรณ์ภาค-หัวหน้าอุทธรณ์-ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์) 230 ตำแหน่ง และบัญชี 3 เพิ่มเติมอีก 8 ตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ส.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีผู้พิพากษาชื่อดังและตำแหน่งสำคัญที่น่าสนใจดังนี้
ให้นายอุเทน ศิริสมรรถการ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 1 ไปนั่ง อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง เป็นศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบที่เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และคดีที่กฎหมายกำหนดให้อยู่ในเขตอำนาจ อาทิ คดีอาญาที่ฟ้องให้ลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามป.อาญา ความผิดทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น หรือความผิดอื่นอันเนื่องมาจากการประพฤติมิชอบ, คดีอาญาที่ฟ้องเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทำความผิดฐานฟอกเงิน กฎหมายว่าด้วยการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ กฎหมายการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ หรือกฎหมายอื่นในการป้องกันปราบปรามการทุจริตฯ, คดีเรียก รับ ทรัพย์หรือประโยชน์ ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือใช้อิทธิพล จูงใจหรือข่มขืนใจ ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการ หรือไม่กระทำการ ตามกฎหมายอาญา, คดีฟ้องลงโทษบุคคลที่ร่วมกระทำความผิดกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ, คดีเกี่ยวกับการจงใจไม่ยื่นบัญชีทรัพย์สินฯ ยื่นบัญชีอันเป็นเท็จ
ให้นายตุลยวัต พรหมพันธ์ใจ อธิบดีผู้พิพากษาภาค 7 ไปนั่งอธิบดีผู้พิพากษาภาค 2 เป็นพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของประเทศ
ให้นายสุชาติ สุนทรีเกษม ผู้พิพากษาศาลฎีกาไปนั่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ซึ่งถือว่าได้รับความไว้วางใจให้ไปนั่งบริหารศาลอาญาซึ่งเป็นศาลหลักและเป็นศาลใหญ่ที่สุดของประเทศ เขตอำนาจครอบคลุมคดีอาญาที่มีอัตราโทษเกิน 3 ปี ในพื้นที่เขตกรุงเทพมหานคร 16 เขต รวมถึงคดีในกองปราบที่มีอำนาจจับกุมได้ทั่วประเทศ และศาลอาญามีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวงแต่คดีที่เกิดขึ้นนอกเขตศาลอาญา ที่โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลอาญาก็ได้ ซึ่งคดีดังและคดีอุกฉกรรจ์หลายคดีในต่างจังหวัดก็มีการโอนมาพิจารณาที่ศาลอาญาหลายคดี นอกจากนี้ศาลอาญา มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่ความผิดเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักรไทยด้วย
นายจีระพัฒน์ พันธุ์ทวี รองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 7 ไปเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา นายจีระพัฒน์ เป็นอดีตเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม สมัยนางสาวปิยกุล บุญเพิ่ม เป็นประธานศาลฎีกา มีผลงานช่วยขับเคลื่อนนโยบายประธานศาลฎีกาในการช่วยเหลือประชาชนในส่วนคดีที่ถูกฉ้อโกงและยกระดับการคุ้มครองผู้บริโภคให้ครอบคลุมถึงการบริโภควิถีใหม่โดยการตั้งแผนกคดีซื้อขายออนไลน์ในศาลแพ่ง เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย จากการซื้อขายสินค้าบริการทางออนไลน์ ซึ่งประชาชนสามารถยื่นฟ้องได้ด้วยตนเองโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ผ่านระบบ e-Filing
นายธานี สิงหนาท เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม โอนกลับไปเป็นอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่งกรุงเทพใต้ นายธานี เป็นผู้พิพากษานักวิชาการมีลูกศิษย์ในวงการกฎหมายให้ความเคารพนับถือ แต่งตำรากฎหมายขายดีมีคุณภาพหลายเล่ม โดยศาลอาญากรุงเทพใต้มีอำนาจศาลครอบคลุมพื้นที่ 7 เขตในกรุงเทพฯซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจสำคัญ
นางสาวอินทิรา ฉิวรัมย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 1 ไปนั่งรองประธานศาลอุทธรณ์ นางสาวอินทิรา เป็นที่รู้จักในงานบรรยายสายวิชาการ เป็นอธิบดีศาลแรงงานภาค 1 ก็มีผลงานเป็นที่ประจักษ์เดินสายลงพื้นที่จัดกิจกรรมอบรมเพิ่มศักยภาพบุคลากรของศาลแรงงานในการบริการประชาชน เป็นเจ้าภาพประชุมสัมมนาผู้พิพากษาสมทบในศาลแรงงานทั่วประเทศ ครั้งที่ 9 เปิดมหกรรมไกล่เกลี่ยทั่วไทยยุติข้อพิพาทแรงงาน สู่กระบวนการยุติธรรมทางเลือก จัดศาลแรงงานเคลื่อนที่อำนวยความยุติธรรมประชาชน ผ่านหลักสูตรระดับสูง ทั้ง วปอ.55 และ บยส.24 ถือเป็นผู้พิพากษาหญิงที่เก่งมีผลงานในตำแหน่ง
นายเอื้อน ขุนแก้ว หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ไปเป็นรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1
นายเอื้อน เป็นผู้พิพากษา สายวิชาการชื่อดังในเนติฯ สอบได้อันดับ 1 ทั้งเนติฯ และผู้ช่วยฯ รุ่น 32 มีผลงานเขียนตำราหลายเล่ม โดดเด่นในกฎหมายล้มละลาย ลูกศิษย์ให้ความชื่นชอบ
นายเจริญวิทย์ เกื้อทิพย์ หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ไปเป็น ประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ ได้รับเลือกเป็นคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) มีผลงานโดดเด่นสมัยเป็นรองอธิบดีศาลอาญา ในการประสานงานกับสื่อมวลชนอธิบายระเบียบกฎเกณฑ์ได้ชัดเจน
นายนาวี สกุลวงศ์ธนา หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ (แรงงาน) ไปเป็น อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 4 นายนาวีมีบทบาทเกี่ยวกับนโยบายเรื่องความยุติธรรมไม่มีวันหยุดที่มีการชูสิทธิการประกันตัว ของผู้ที่ไม่มีเงินและเข้าไม่ถึงกระบวนการยุติธรรม โดยลงพื้นที่แจ้งสิทธิผู้ต้องขังร่วมกับ นางเมทินี ชโลธร ประธานศาลฎีกา ในขณะนั้น และน.ส.ปิยกุล บุญเพิ่ม
ศาลฎีกาคนต่อไปตั้งแต่ยุคนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ อดีตปธ.ศาลฎีกา ถือเป็นมือทำงานที่ช่วยในเรื่องการผลักดันนโยบายเรื่องสิทธิประชาชน
นายเจริญ ดวงสุวรรณ์ หัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปเป็น ประธานแผนกคดีผู้บริโภคในศาลอุทธรณ์ภาค 9
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับบัญชีโยกย้ายแต่งตั้ง ที่ ก.ต.พิจารณาเห็นชอบในวันนี้ไม่ปรากฏมีรายชื่อของ อธิบดีผู้พิพากษาศาลที่ถูกกล่าวหาลวนลามผู้หญิงบนรถไฟ มีรายงานว่าอธิบดีผู้พิพากษาคนดังกล่าวถูกแขวนไว้ยังไม่พิจารณาอนุญาตให้ไปดำรงตำแหน่งใดจนกว่าผลการสอบสวนจะเสร็จสิ้น โดยความคืบหน้าการสอบสวนข้อเท็จจริง ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบข้อเท็จจริง ยังไม่มีการเรียกอธิบดีผู้พิพากษาไปแจ้งข้อกล่าวทางวินัยแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุม ก.ต. ครั้งที่ 19 /2567 มีวาระการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายผู้พิพากษาตามบัญชีรายชื่อของสำนักงานศาลยุติธรรมโดย ก.ต.เห็นชอบแต่งตั้งโยกย้าย ระดับชั้น 4 บัญชี 2 จำนวน 61 ตำแหน่ง โดยมีผู้พิพากษาชื่อดังและตำแหน่งสำคัญที่น่าสนใจดังนี้
นายอดิศักดิ์ ตันติวงศ์ ประธานแผนกคดีภาษีอากรในศาลฎีกา ไปเป็นประธานศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งอาวุโสเบอร์ 2 รองจากประธานศาลฎีกา ถือเป็นศาลสูงถัดจากศาลชั้นต้นซึ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาบรรดาคดีที่อุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อยู่ในเขตอำนาจ ในเขตกรุงเทพฯ 20 ศาล กับมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีที่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยได้ตามกฎหมายอื่นในเขตท้องที่ที่มิได้อยู่ในเขตศาลอุทธรณ์ภาค เว้นแต่คดีที่อยู่นอกเขตศาลอุทธรณ์จะอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ก็ได้ แต่คดีต้องได้โอนมาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
นางมัณทรี อุชชิน ประธานแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศในศาลฎีกา ไปเป็นรองประธานศาลฎีกา คนที่ 1
นายวิชาญ ศิริเศรษฐ์ ประธานแผนกคดีคำสั่งคำร้องและขออนุญาตฎีกาในศาลฎีกา ไปเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่ 2
นายวิเชียร ดิเรกอุดมศักดิ์ ประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา ไปเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่ 3
นายเศกสิทธิ์ สุขใจ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไปเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่ 4
นายประกอบ ลีนะเปสนันท์ ประธานศาลอุทธรณ์ชำนัญพิเศษไปเป็น รองประธานศาลฎีกาคนที่ 5
นายรังสรรค์ โรจน์ชีวิน ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไปเป็นรองประธานศาลฎีกาคนที่ 6
นายศุภมิตร บุญประสงค์ ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 5 ไปเป็น ประธานแผนกคดีเลือกตั้งฯ ในศาลฎีกา
นายอรพงษ์ ศิริกานต์นนท์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ไปเป็นประธานแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา เป็นศาลที่มีบทบาทสำคัญ พิจารณาพิพากษาคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้แก่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น รวมทั้งกรณีบุคคลอื่นที่เป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุนด้วย โดยการพิจารณาคดีจะเป็นระบบไต่สวน ต่างจากวิธีพิจารณาที่ใช้ในคดีทั่วไป โดยมีองค์คณะในคดี 9 คนมีอำนาจไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร
นายสุรินทร์ ชลพัฒนา หัวหน้าคณะในศาลฎีกา ไปเป็นประธานศาลอุทธรณ์ภาค 4 ในสมัยเป็นเลขาธิการประธานศาลฎีกา ในยุคนายไสลเกษ วัฒนพันธุ์ เป็นคีย์แมนขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวกับสิทธิการประกันตัวของผู้ต้องหาจำเลย เรียกว่าความยุติธรรมไม่มีวันหยุด ที่ส่งผลให้สามารถมีการยื่นขอประกันตัวได้ทุกวันทุกเวลา มีความสามารถการบริหารจนเป็นที่ไว้ใจ ก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่งรองประธานศาลอุทธรณ์ภาค 4 ซึ่งเป็นช่วงอีสานตอนบนครอบคลุมพื้นที่ 18 ศาล 12 จังหวัด ถือว่าได้กลับถิ่นเก่าโดยศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่คู่ความอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา โดยมีสำนักงานอยู่ที่ขอนแก่นซึ่งเป็นจังหวัดใหญ่ในภาคอีสาน
โดยสามารถตรวจสอบผลการพิจารณาทั้งหมดได้ตามลิงก์