เมื่อวันที่ 7 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้เวลา 09.30 น. คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจาประชุมปรึกษาหารือลงมติและออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โดยนายทะเบียนพรรคการเมือง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคก้าวไกล และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของบุคคลผู้เป็นคณะกรรมการบริหารพรรค และห้ามมิให้ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการบริหารพรรคและถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ไปจดทะเบียนพรรคการเมืองขึ้นใหม่ หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 มาตรา 92 วรรคสอง และมาตรา 94 วรรคสอง จากเหตุมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์กระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเข้าลักษณะกระทำการอันอาจเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อันเป็นเหตุแห่งการยุบพรรค ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 92 วรรคหนึ่ง (1) และ (2) ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2567 ที่ระบุว่าเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..) พ.ศ. … เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่ง สส.พรรคก้าวไกล 44 คน เข้าชื่อยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อ 25 มีนาคม 2564 และใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง และศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้หยุดการกระทำนั้น
จากนั้นในเวลา 15.00 น. ศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย โดยคู่ความไปฟังศาลอ่านคำวินิจฉัย มีทั้งพรรคก้าวไกล นำโดยนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส่วน กกต. จะมี นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต. หลังจากศาลอ่านคำวินิจฉัยเสร็จ นายพิธาเดินทางกลับไปยังที่ทำการพรรค เพื่อเตรียมแถลงท่าทีในเวลา 18.00 น.
ทั้งนี้ แนวทางการวินิจฉัยของศาลออกได้ 2 ทางคือ ยกคำร้อง และสั่งยุบพรรค หากมีคำสั่งยุบพรรคจะสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ไม่สามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ ได้ แต่มีอีกกระแสหนึ่ง คือการชี้ความผิดไปที่เฉพาะ “ปัจเจกบุคคล..พร้อมกำหนดสัดส่วนความผิด”