เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2567 มีการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 3 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการเติมเงินหมื่นผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ที่ได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงในประเด็นที่ สว.อภิปรายท้วงติงถึงกรณีการก่อหนี้และความคุ้มค่าต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น โดยยอมรับว่าเมื่อกระบวนการเดินหน้าต้องกู้เงินเพิ่มเติม ทั้งนี้การกระตุ้นเศรษฐกิจนี้มีความจำเป็น ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งกระบวนการใช้นั้นคือการใช้คูปอง เพื่อไปแลกเปลี่ยนสินค้า ส่วนการขึ้นเงินสดจะเป็นกระบวนการใช้ในรอบสองเป็นต้นไป ทั้งนี้การขึ้นเงินหรือไม่ เงินไม่หายไปไหน
นายจุลพันธ์ ชี้แจงด้วยว่าสำหรับการลงทะเบียนร้านค้าที่เข้าร่วมนั้น ร้านค้าที่ไม่ได้ลงทะเบียนในระบบภาษี เช่น หาบเร่ ก๋วยเตี๋ยว สามารถเข้าร่วมโครงการได้ แต่จะไม่สามารถขึ้นเงินสดได้ ต้องนำไปซื้อปัจจัยการผลิต ขณะเดียวกันในรายละเอียดที่พิจารณาถึงร้านสะดวกซื้อนั้น ได้พิจารณาไม่ให้กระจุกตัวที่รายใหญ่ และประชาชนมีความง่ายต่อการใช้ ทั้งนี้ไม่สามารถกำหนดจนกระทบต่อการหมุนเวียนได้ ทั้งนี้การใช้จ่ายรอบสองนั้น ที่เป็นร้านค้าต่อร้านค้า สามารถใช้จ่ายได้โดยไม่กำหนดพื้นที่หรือจำนวนได้
“สำหรับร้านสะดวกซื้อนั้นคิดนานเพราะไม่สามารถตัดสิทธิประชาชนและร้านค้าได้ สำหรับกรณีการลงทะเบียน ที่พบว่าล่าสุดมีผู้ลงทะเบียนถึง 25 ล้านคนไม่ใช่ตัวชี้วัดความสำเร็จ แต่อยู่ที่กลไกกระตุ้นเศรฐกิจ เรียนรู้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานในเศรษฐกิจดิจิทัล ทั้งนี้จำนวนที่ลงทะเบียนไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้สิทธิ เนื่องจากต้องตรวจสอบฐานข้อมูล ขณะที่ร้านค้าที่ลงทะเบียน เบื้องต้นร้านธงฟ้าที่มี 2 แสนร้านค้า ลงทะเบียนแล้ว 2 หมื่นร้าน นอกจากนั้นจะให้หน่วยงานรัฐ เช่น กรมการปกครอง ขึ้นทะเบียนร้านค้าด้วย” รมช.คลัง กล่าว
รมช.คลัง กล่าวต่อว่า สำหรับประชาชนที่ไม่มีสมาร์ตโฟน วิธีการใช้ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนมาแสดง และมีการบันทึกภาพการใช้จ่ายทุกครั้งเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต ซึ่งการการลงทะเบียนผู้ไม่มีสมาร์ตโฟนจะเริ่ม วันที่ 16 ก.ย.-15 ต.ค. 67 ขณะที่ประชาชนกลุ่มไม่สามารถเดินทางได้ เช่น ผู้ป่วยติดเตียง จะมีกลไกที่แตกต่างกันซึ่งจะมีการแถลงเป็นระยะๆ
นายจุลพันธ์ ชี้แจงด้วยว่าที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งและหวังผลการเมือง ตนยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการเลือกตั้งเพราะผ่านมาเป็นปี แต่ที่ต้องทำเพราะเป็นสัญญาประชาคม ที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อที่ประชุมรัฐสภา เป็นนโยบายเร่งด่วนต้องเดินหน้า ในรัฐบาลไม่มีการพูดถึงพรรคการเมืองใดเพราะเป็นการหารือของพรรคร่วมรัฐบาล และที่ตั้งข้อสังเกตว่าไม่ตรงปกนั้น ตนยอมรับว่าโครงการมีการเปลี่ยนแปลงจริง จากข้อท้วงติงจากหน่วยงานรัฐ และจากความห่วงของสังคม เราเป็นรัฐบาลของประชาชนจำเป็นต้องรับฟัง
“วันนี้มีข้อเสนอแนะและท้วงติงรับไปพิจารณาเพื่อให้โครงการเดินหน้าเกิดประโยชน์กับประชาชน แอปพลิเคชันไม่ได้เก็บข้อมูลและไม่เห็น เมื่อประชาชนกดปุ่ม จะส่งคำถามไปยังหน่วยงานรัฐ กรมสรรพากร เช่น รายได้เกินหรือไม่ เพื่อให้หน่วยงานตอบกลับเป็นคำว่าใช่หรือไม่เท่านั้น ดังนั้นมีความปลอดภัย ส่วนสแกนใบหน้าไม่ใช่การเก็บข้อมูล แต่เป็นการยืนยัน ดังนั้นกลไกเดินหน้าสมบูรณ์ ปลอดภัย ไม่มีคำสั่งไปยังธนาคารให้โอนเงินออกมาได้” รมช.คลัง กล่าว.