เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีวิปฝ่ายค้านโดยพรรคก้าวไกล ได้หารือเกี่ยวกับการขอปรับเวลาในการประชุมสภา พรุ่งนี้ เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญมีนัดอ่านคำพิพากษาคดียุบพรรคก้าวไกล ว่า เมื่อเช้านี้ได้ติดตามจากฝ่ายเลขาฯ สภา ยังไม่ได้เห็นเอกสารอย่างเป็นทางการมาถึงตนเอง แต่ตนคิดว่าขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของประธานสภา เพราะระเบียบวาระต่างๆ ยังคงต้องดำเนินต่อไป เราก็เข้าใจฝ่ายการเมืองว่าสมาชิกในการประชุมก็จะไม่ค่อยมี ถ้าเลิกประชุมหรือพักการประชุมได้ ก็อาจจะเป็นประโยชน์ก็ได้

ส่วนในวันพรุ่งนี้ที่จะมีการตัดสินคดียุบพรรค ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับตนเองนั้น นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้กำลังใจยังดีมาก เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวว่าจะอยู่นานเท่าไร เรารู้ว่ารัฐธรรมนูญ 2560 มีความน่ากังวลหลายประเด็น โดยเฉพาะสถาบันนิติบัญญัติ ถ้าประชาชนมีความกังวลว่าอำนาจล้นเกินของสถาบันอื่น มาทำให้สถาบันนิติบัญญัติ เช่น การเสนอกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎร ที่กว่าจะผ่านด้วยความยากเย็น ที่มีทั้งสภาสูง และองค์กรอิสระ รวมถึงความเข้มแข็งของฝ่ายค้าน ที่กังวลว่าจะทำให้สภา 3 ปีข้างหน้าจากนี้ จะไม่สง่างาม และส่งผลกระทบต่อการทำงานในอนาคตอีกด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่อย่างใด

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ได้ประเมินสถานการณ์ และเตรียมแผนในวันพรุ่งนี้อย่างไรบ้าง นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า หากมองจากข้อต่อสู้ของพรรคก้าวไกลที่ยื่นข้อต่อสู้ รวมถึงความคิดเห็นของนักวิชาการที่มีมาตรฐาน ก็เชื่อว่าคำตัดสินน่าจะเป็นคุณ ซึ่งเราก็ต้องเตรียมแผนไว้หลายฉากทัศน์ ตอนนี้ยังทำงานแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ก่อน แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นเราก็พร้อมรับทุกสถานการณ์

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการดึงองค์กรต่างประเทศเข้ามาร่วมจับตาคดียุบพรรคก้าวไกล มีข้อห่วงกังวลอะไรที่จะส่งผลต่อประเทศในอนาคตหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ประชาชนก็รู้ดี หากเราปิดประเทศแบบเมียนมา และกัมพูชา เราคงไม่ต้องแคร์ต่างชาตินัก แต่ประเทศไทยเป็นประเทศเปิด และมีตัวตนในเวทีโลก ซึ่งจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราจะบอกว่าเราขอมีตัวตนในโลก แต่ไม่ให้โลกจับตามองประเทศไทยของเรา จึงต้องถามกลับว่าเรามีตัวตนอย่างไรในเวทีโลกมากกว่า

เมื่อถามว่ามีการติงว่าเป็น “มารยาท” ที่ต่างชาติไม่ควรแทรกแซง นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า ตนมองว่าก็สามารถวิจารณ์กันได้ โดยเมื่อวานนี้ รองโฆษกรัฐบาลก็มีการเผยแพร่ข่าวในเว็บไซต์ ซึ่งตนเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นการไร้มารยาทหรือไม่ และเราควรที่จะพูดกันตรงๆ ว่า ถ้าเรายังปล่อยให้เป็นแบบนี้ เราก็จะได้รับการยอมรับจากทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเราอาจจะบอกว่าเราไม่แคร์ก็ได้ว่าต่างประเทศจะคิดกับเราอย่างไร แต่ส่วนตัวแล้วเห็นว่า ความพยายามที่เราจะมีตัวตนในโลก ก็ต้องสอดคล้องกับการเป็นประชาธิปไตย ถ้าไม่มีความเป็นประชาธิปไตย ก็จะส่งผลต่อศักดิ์ศรีของสภา และตัวตนของรัฐบาล

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าในวันพรุ่งนี้ นายปดิพัทธ์ จะเดินทางไปที่พรรคก้าวไกล เพื่อร่วมกิจกรรมด้วยหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แน่นอนว่าจะต้องไปหาเพื่อนอยู่แล้ว ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร หากตามที่นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้บอกไว้ว่า เราได้ปาร์ตี้แน่นอน ไม่ว่าผลจะเป็นบวกหรือลบ เพราะการที่เราได้ให้กำลังใจกันแล้ว การอยู่ด้วยกันในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เป็นคุณค่าที่เรายึดถือร่วมกันอยู่แล้ว.