เรียกได้ว่าเป็นภาพที่กลายเป็นไวรัลเป็นอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 67 อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ได้พูดถึงเรื่องนี้ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Jessada Denduangboripant ว่า “ไม่ควรนำถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอรี่ ไปถูกความร้อนสูง รวมถึงไปเคาะหรือกระแทกแรงๆ”
โดย อาจารย์เจษฎา ระบุข้อความว่า หลังจากโลกออนไลน์เผยแพร่คลิป โดยอ้างว่าเป็นความลับที่โรงงานผลิตถ่านไฟฉาย-แบตเตอรี่ โดยไม่อยากให้คุณรู้ นั่นคือ ถ้าถ่านหมด อย่าทิ้ง ให้เอามาแช่น้ำร้อนจัด และแช่น้ำเย็นกับน้ำแข็ง หรือเอามาเคาะพื้น ดังนั้น ถ่านจะกลับมาใช้ต่อได้อีกนานหลายสัปดาห์นั้นเป็นหลายเดือนจริงหรือไม่ พร้อมทั้งทำการทดลองให้ดูด้วยว่า ถ่านที่หมดแล้วแต่ใส่นาฬิกาแล้วไม่เดิน ก็กลับมามีไฟฟ้าใช้ได้ใหม่อีกครั้งจริงหรือ งานนี้ทำเอาผู้คนสนใจ และส่งมาถามกันนับสิบเลยว่า วิธีนี้มันใช้ได้จริงหรือไม่ และจะเป็นอันตรายหรือเปล่า แบตเตอรี่หรือที่เราชอบเรียกกันว่า ถ่านไฟฉาย ซึ่งเป็นแหล่งสะสมพลังงานไฟฟ้าขนาดเล็ก ทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานจากปฏิกิริยาของสารเคมี ให้เป็นพลังงานไฟฟ้า เอาไปใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ จริงแล้ววิธี “กระตุ้น” ด้วยอุณหภูมิสูง หรือด้วยแรงกระแทกเช่นนี้ ไม่ได้เป็นการมอบ “พลังงาน” ให้กับถ่านไฟฉายของเรา แต่เป็นการไปช่วยให้ปฏิกิริยาของสารเคมีตัวนำไฟฟ้า หรือสารอิเล็กทรอไลต์ (electrolyte) ที่มีประจุไฟฟ้าต่างกัน ได้ทำปฏิกิริยากันได้ทั่วถึงมากขึ้นอีกนิดจึงทำให้แบตเตอรี่เหมือนจะมีไฟฟ้ากลับคืนมา แต่อีกไม่นานมันก็จะหมดไป หรือพูดง่ายๆ ก็เหมือนไป “เค้น” ให้มันปล่อยไฟฟ้าออกมาให้เกลี้ยงที่สุด แต่การที่ให้แบตเตอรี่ถูกความร้อนสูง หรือถูกกระแทกรุนแรงนั้น ก็อาจจะไปสร้างความเสียหายกับองค์ประกอบภายในก้อนถ่าน และกับซีลเปลือกนอกที่ห่อหุ้มถ่านเอาไว้ ซึ่งนำไปสู่อันตรายจากการที่ถ่านรั่วซึม
นอกจากนี้ อาจารย์เจษฎา ระบุข้อความอีกว่า สารเคมีที่ไหลออกมา หรือแตกเสียหาย จึงไม่ใช่วิธีการที่ปลอดภัยต่อการใช้ และควรจะหลีกเลี่ยงไม่ทำตามภายในของถ่านไฟฉาย มีส่วนประกอบของสารเคมีอันตรายหลายชนิด เช่น สารตะกั่ว สารแมงกานีส สารแคดเมียม สารนิเกิล สารปรอท และกรดซัลฟิวริก อีกทั้งสารเคมีที่เป็นพิษเหล่านี้ สามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ และผ่านการหายใจและการซึมเข้าผิวหนัง จนส่งผลให้เกิดอาการเจ็บป่วยอย่างเฉียบพลันหรือเรื้อรัง นอกจากนั้น สารพิษเหล่านี้ยังมีโอกาสที่จะปนเปื้อนในดิน ในแหล่งน้ำ รวมถึงเป็นมลพิษทางอากาศ และถ้ามีไอระเหยของสารเคมีแพร่กระจายออกไป ดังนั้น เราจึงไม่ควรทิ้งถ่านไฟฉาย รวมกับขยะอื่นๆ ตลอดจนไม่ทิ้งลงสู่แหล่งน้ำหรือท่อระบายน้ำ และห้ามนำไปเผาโดยเด็ดขาด แต่ให้เก็บรวบรวม แล้วใส่รวมกันในถุงขยะ โดยแยกออกมาจากขยะชนิดอื่น มัดปากถุงให้แน่นสนิท แล้วติดป้ายเตือนว่า “เป็นขยะมีพิษ” เพื่อแจ้งให้คนเก็บขยะทราบ หรือนำไปทิ้งในกล่องที่รับทิ้งถ่านไฟฉาย-แบตเตอรี่ โดยเฉพาะสำหรับวิธีการที่ดีที่สุดในการใช้ถ่านไฟฉาย-แบตเตอรี่ คือการนำไปใช้ตามที่ผู้ผลิตกำหนด และใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เหมาะสมเท่านั้น
ทั้งนี้ ควรจะเปลี่ยนเป็นถ่านก้อนใหม่เมื่อไฟหมดแล้ว โดยไม่ควรพยายามไป “กระตุ้น” มันด้วยวิธีการที่รุนแรง การที่เราใช้วิธีการกระตุ้นถ่ายไฟฉาย แล้วเอากลับไปใส่เครื่องใช้ไฟฟ้า หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อีกครั้ง ด้วยความเข้าใจผิดว่ามันจะกลับมามีพลังใหม่ได้อีกเป็นเดือนๆ กลับจะทำความเสียหายให้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าของเราได้ เนื่องจากปฏิกิริยาเคมีภายในถ่านไฟฉายนั้น จะทำให้สารเคมีภายในถ่านเปลี่ยนรูปกลายเป็นของเหลว ถ่านไฟฉายเกิดอาการเปียกเยิ้ม บวม และเสื่อมสภาพ โดยของเหลวอันตรายที่รั่วไหลออกมาก็จะสร้างความเสียหายให้อุปกรณ์ไฟฟ้าของเราได้
สำหรับคำแนะนำในการใช้ถ่านไฟฉาย และแบตเตอรี่ ที่ถูกต้องเหมาะสม มีดังนี้
1. ควรเปลี่ยนถ่านพร้อมกันทุกก้อนในคราวเดียวกัน ไม่ปะปนกับถ่านเก่า
2. ปิดสวิตช์อุปกรณ์ทุกครั้งหลังการใช้งาน อย่าเปิดค้างไว้โดยไม่จำเป็น
3. ไม่ควรนำถ่านหลายชนิดหรือหลายยี่ห้อมาใช้ปะปนกัน
4. นำถ่านออกจากอุปกรณ์ทุกครั้งหลังการใช้งาน
5. ตรวจสอบวิธีการใส่ถ่านและขั้วถ่านให้ถูกต้องเสมอ
6. ไม่แกะชิ้นส่วนถ่านออกมาเล่นและไม่ควรวางถ่านไว้ในที่ที่มีความร้อนสูง
7. หลีกเลี่ยงการทำให้ถ่านเกิดการช็อตกัน
8. ห้ามนำถ่านที่ชาร์จไฟไม่ได้มาชาร์จไฟใหม่ เพราะอาจเกิดอันตรายได้
9. ควรซื้อถ่านไฟฉายจากแหล่งที่เชื่อถือได้หรือยี่ห้อที่มีการรับรองความปลอดภัย ไม่ควรซื้อถ่านไฟฉายราคาถูก เพราะจะได้ถ่านไฟฉายที่ไม่มีคุณภาพและอาจเกิดอันตรายขณะใช้งาน
ขอบคุณข้อมูล : Jessada Denduangboripant