เมื่อวันที่ 4 ส.ค. จากสถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดจันทบุรี แม้ว่าจะเริ่มคลี่คลายบ้างแล้ว ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจความเสียหายหลังน้ำลด ในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่ต.วันแซ้ม อ.มะขาม จ.จันทบุรี มีพื้นที่เกตรกรรมสวนผลไม้ถูกน้ำขังนาน 5 วัน ทำทุเรียนยืนต้นตาย คาดการณ์ว่าอุทกภัยครั้งนี้จะส่งผลทำให้มีความเสียหายหลายล้านบาท ขณะที่ระดับน้ำที่แม่น้ำจันทบุรี บริเวณรอยต่ออำเภอมะขาม ที่สะพานน้ำรักเกาะสาร ระดับน้ำลดลงกว่า 2 เมตร ชาวบ้านริม 2 ฝั่งคลองทยอยสำรวจความเสียหาย และปรากฏเด่นชัดจากสภาพต้นทุเรียน อายุ 1-4 ปี ใบกลายเป็นสีเหลืองเหี่ยวแห้งเฉา และคาดว่าในหลังจากนี้อีกประมาณ 1 สัปดาห์ จะเห็นภาพความเสียหายชัดเจนมากขึ้น หรือที่เรียกว่า “ยืนต้นตาย”
จากการสอบถาม นายบุญอยู่ ชัยดิษฐ์ อายุ 62 ปี ชาวบ้านเจ้าของสวนทุเรียน ต.วังแซ้ม อ.มะขาม จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นหนึ่งผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุทกภัยน้ำท่วมในครั้งนี้ เล่าถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นว่า หลังจากที่น้ำท่วมขังมานานเกือบหนึ่งสัปดาห์ ต้นทุเรียนอายุ 1-4 ปี มีสภาพใบเหลืองและทยอยยืนต้นตาย โดยคาดว่าจะมีต้นทุเรียนเสียหาย ประมาณ 60 ถึง 80 ต้น ส่วนต้นเรียนอายุ 5 ปีขึ้นไปที่เริ่มให้ผลผลิตแล้ว หลังจากนี้อาจจะต้องเผชิญกับโรคเชื้อรา รากเน่า โคนเน่า ซึ่งชาวสวนจำเป็นต้องเร่งสำรวจและหาองค์ความรู้ เพื่อมาเยีวยารักษาฟื้นฟูต้น ต้นทุเรียนที่เหลือ ให้อยู่ต่อไป
โดยยอมรับว่าหลังฝนตกหนักในช่วงวันที่ 27-28 กรกฎาคมที่ผ่านมา เชื่อว่าน้ำจะเข้าท่วมบริเวณสวนทุเรียน และแม่น้ำสาขาของแม่น้ำจันทบุรี จะสามารถระบายน้ำออกได้ ภายใน 1-2 วัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติเกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่สำหรับน้ำท่วมครั้งนี้ น้ำกลับระบายออกได้ช้า ทิ้งช่วง ส่งผลให้ทุเรียนแช่น้ำนาน ประมาณ 5 วัน จนต้นทุเรียนยืนต้นตาย
สำหรับในอนาคตยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะปลูกใหม่ทดแทน หรือเปลี่ยนมาปลูกพืชที่ทนน้ำทดแทน โดยหลังจากนี้คาดว่าหน่วยงานด้านเกษตรที่เกี่ยวข้องจะเข้ามาสำรวจความเสียหายซึ่งหลักเกณฑ์การเยียวยานั้น แน่นอนว่าไม่สามารถทดแทนต้นทุเรียนที่เสียหายไปได้ แต่ก็เป็นการช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรที่เกิดขึ้นถ้วนหน้า และที่สำคัญ คือหน่วยงานภาครัฐ จะได้หาทางแก้ไขให้การระบายน้ำในพื้นที่วังแซ้ม ไหลออกสู่แม่น้ำจันทบุรีได้รวดเร็วกว่าครั้งนี้