สืบเนื่องจากกรณีที่ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน และครอบครัวของนายอภิรักษ์ ชัชอานนท์ หรือเสี่ยโป้ จำเลยสำคัญในคดีชักชวนเล่นพนันออนไลน์และฟอกเงิน คดีร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2550 ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ขอให้สั่งการให้เรือนจำกลางบางขวาง จัดสถานที่คุมขังเสี่ยโป้ แยกออกจากนักโทษเด็ดขาด แยกการแต่งกายไม่ใส่ชุดนักโทษ ไม่ขังรวมกับนักโทษเด็ดขาด แยกการนอน การรับประทานอาหารและการทำกิจกรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกฎแมนเดลา (Mandela Rules) ที่ราชอาณาจักรไทย เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ และจัดให้เสี่ยโป้ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ได้รับการเยี่ยมญาติตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรม ที่ ย.0704.1/6066 รวมถึงขอให้กรมราชทัณฑ์ ย้ายเสี่ยโป้ไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม  หรือเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รวมทั้งขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องต่างๆ ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 1 ส.ค. ที่ ห้องประชุม ชั้น 2 เรือนจำกลางคลองเปรม ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ นพ.สมภพ สังคุตแก้ว รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และในฐานะโฆษกกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า กรณีของเสี่ยโป้ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อสารมวลชนนั้น จากรายงานของเรือนจำกลางบางขวาง ได้มีการรายงานถึงพฤติกรรมของเสี่ยโป้ ว่าเริ่มมีความผิดปกติระหว่างการคุมขังอย่างไรบ้าง คือ นับตั้งแต่เรือนจำกลางบางขวางได้รับย้ายตัวเสี่ยโป้จากเรือนจำกลางคลองเปรม พบว่าเจ้าตัวเป็นคนค่อนข้างมีเอกลักษณ์ ชอบสร้างสถานการณ์ความรุนแรงจนมีปัญหา ทำให้ทางเรือนจำฯ จึงได้ดำเนินการตามแนวทางการปฏิบัติต่อกรณีที่ผู้ต้องขังกระทำผิดวินัย ทั้งการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และการแยกกลุ่มผู้ต้องขังออกจากกัน

ท้ายสุดจึงได้ดำเนินการเบื้องต้นในช่วงต้นปีไปแล้ว โดยย้ายเสี่ยโป้ไปอยู่แดน 10 ซึ่งเป็นแดนควบคุมพิเศษ สำหรับควบคุมผู้ต้องขังที่มีการกระทำผิดวินัยจากแดนขังอื่น หรือจากเรือนจำอื่น กระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่เสี่ยโป้ได้ร้องเรียนผ่านทนายความส่วนตัวว่ามีเพื่อนผู้ต้องขังภายในแดน 10 มีการพยายามลอบทำร้ายร่างกาย จ้องเอาชีวิต ซึ่งในประเด็นนี้ทางเรือนจำกลางบางขวาง ก็ได้มีการตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุ และพบว่าเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทกัน ทางเรือนจำฯ จึงได้แยกคู่กรณีไปอยู่ที่แดน 1 แทน ขณะที่เสี่ยโป้ยังอยู่แดน 10 เหมือนเดิม จึงทำให้ทั้งคู่จะไม่ได้วนกลับมาเจอกันอีก เพราะผู้ต้องขังแต่ละแดนก็จะอยู่ในแดนของตัวเอง

เมื่อถามว่ากรณีของเสี่ยโป้ถือเป็นความพยายามสร้างสถานการณ์จัดฉากหรือไม่นั้น นพ.สมภพ ระบุว่า ก็เป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ตามหลักปฏิบัติของเรือนจำฯ ก็จะต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริง เช่น เสี่ยโป้กล่าวอ้างว่าถูกทำร้ายร่างกาย ในความเป็นจริงก็ได้มีการตรวจร่างกายเสี่ยโป้แล้ว พบว่าไม่มีบาดแผล และเสี่ยโป้ก็ยังอยู่ในแดน 10 มาได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีเหตุลอบฆ่าอะไรอีก

นพ.สมภพ ระบุอีกว่า สำหรับอาการไอเป็นเลือดของเสี่ยโป้ในอดีต ว่าสรุปแล้วเป็นเลือด หรือน้ำแตงโมนั้น ทางเรือนจำกลางบางขวาง ยังไม่ได้รายงานมายังส่วนกลาง แต่ทราบว่าหลังจากมีการร้องทุกข์ว่าผู้ต้องขังมีอาการไม่สบายและอาเจียนเป็นเลือด ทางเรือนจำฯ ก็ได้ส่งผู้ต้องขังเข้าพบแพทย์ที่ รพ.เรือนจำบางขวาง โดยมีพยาบาลและแพทย์ตรวจร่างกาย และมีการให้ยารักษาตามอาการ และเสี่ยโป้ก็ไม่มีอาการใดๆ เกิดขึ้นต่อร่างกาย

ส่วนประเด็นที่ทนายความของเสี่ยโป้ ไปยื่นเรื่องที่กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอย้ายลูกความไปคุมขังยังเรือนจำอื่นแทน เพื่อป้องกันเรื่องความปลอดภัยนั้น นพ.สมภพ แจงว่า การจะพิจารณาย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำแห่งหนึ่งไปเรือนจำอีกแห่ง เราจะต้องดูรายละเอียดการดำเนินงานของเรือนจำประกอบการพิจารณาด้วย เช่น เรือนจำใดมีอำนาจในการควบคุมผู้ต้องขังที่มีอัตราโทษกี่ปี สูงสุดกี่ปี ยกตัวอย่างเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีอำนาจควบคุมผู้ต้องขังที่มีโทษไม่เกิน 15 ปี ขณะที่เรือนจำกลางคลองเปรม จะควบคุมผู้ต้องขังที่มีอัตราโทษสูง อย่างไรก็ตาม กรณีของเสี่ยโป้ เบื้องต้นทางเรือนจำกลางบางขวาง ได้มีการตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงไปตั้งแต่เดือน ม.ค. ที่ผ่านมา และพบว่าเป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งกัน ไม่ได้ถึงขึ้นหมายเอาชีวิตหรือปองร้ายต่อชีวิต แต่ถ้ามีเหตุแบบนั้นจริง มีการหมายฆ่าเอาชีวิต ก็ต้องมีการสืบสวนต่อ แต่ก็ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าบุคคลนั้นก่อเหตุโดยประสงค์ให้ถึงแก่ชีวิตจริงหรือไม่ ทั้งนี้ เมื่อสองวันที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปพบกับนายเสี่ยโป้ และพบว่ายังมีสุขภาพปกติดี

ส่วนกรณีที่พี่สาวของเสี่ยชูวงษ์ เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อขอให้มีการบังคับโทษประหารชีวิต พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ (ผู้ต้องขังเด็ดขาดชาย) ที่ก่อเหตคดีอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ พฤติกรรมโหดร้ายทารุณ ทำความผิดต่อเนื่อง ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองนั้น นพ.สมภพ กล่าวว่า ตามขั้นตอนของกรมราชทัณฑ์ หากศาลได้ตัดสินพิพากษาประหารชีวิตผู้ต้องขัง เราก็จะให้ผู้ต้องขังได้ใช้สิทธิยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะต้องดำเนินการภายใน 60 วันหลังศาลมีคำพิพากษาตัดสิน  ถือเป็นกระบวนการปกติของผู้ต้องขังทุกรายที่มีโทษประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม ทาง พ.ต.ท.บรรยิน ยังไม่ได้มีการเขียนทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษกับทางเรือนจำกลางบางขวางแต่อย่างใด ซึ่งทางราชทัณฑ์ไม่มีอำนาจในการบังคับโทษประหารชีวิตผู้ต้องขังเด็ดขาด เพราะยังมีกระบวนการที่ผู้ต้องขังสามารถยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขออภัยโทษอยู่ จึงต้องให้เสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดก่อน และผลจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของพระราชอำนาจ พระบรมราชวินิจฉัย เช่น กรณีที่มีผู้ต้องขังโทษประหารยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขออภัยโทษล่าสุดคือเมื่อปี 2561 ปรากฏว่ามีผลยกคำร้อง จึงมีการประหารชีวิตไป ทั้งนี้ พี่สาวของผู้เสียชีวิตสามารถยื่นเรื่องให้กรมราชทัณฑ์ได้ จากนั้นราชทัณฑ์ก็จะรับไว้พิจารณา