นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (บอร์ดกองทุน เพิ่มขีดความสามารถฯ) ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธาน ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมวิสาหกิจเริ่มต้น หรือสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง

ทั้งนี้ยังได้ออกประกาศคณะกรรมการฯ​ ที่ 2/2567 เพื่อส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยที่ประกอบธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอยู่ในระยะการระดมทุนเพื่อขยายกิจการ ตั้งแต่ระดับ Pre Series A ถึง Series A โดยบีโอไอจะให้เงินสนับสนุนแก่สตาร์ทอัพรายละ 20-50 ล้านบาท ในลักษณะการร่วมลงทุนหรือแมทชิ่ง ฟันด์ ร่วมกับกองทุนร่วมลงทุนหรือเวนเจอร์ แคปปิตอล ของเอกชน เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพของไทยให้สามารถต่อยอดสร้างนวัตกรรม เพื่อขยายธุรกิจในตลาดโลกและเติบโตไปสู่ระดับยูนิคอร์นได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ มุ่งสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 15 กรฎาคม 2567 เป็นต้นไป 

สำหรับคุณสมบัติของผู้ขอรับการส่งเสริม จะต้องเป็นนิติบุคคลที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย มีหุ้นไทยไม่น้อยกว่า 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และกลุ่มผู้ก่อตั้งต้องถือหุ้นไม่น้อยกว่า 60% โดยต้องดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์สมัยใหม่ เกษตร อาหาร การแพทย์ เทคโนโลยีชีวภาพ หุ่นยนต์ เป็นต้น และต้องเสนอแผนธุรกิจที่ชัดเจน โดยเฉพาะแผนการออกสู่เวทีระดับโลก เช่น แผนระดมทุนรอบถัดไปในต่างประเทศ แผนส่งออกผลิตภัณฑ์และบริการไปจำหน่ายในต่างประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ บริษัทต้องได้รับเงินทุนจากกองทุนเวนเจอร์ แคปปิตอล มาแล้วไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาท และต้องมีกองทุนเวนเจอร์ แคปปิตอล ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ แสดงเจตจำนงจะลงทุนเพิ่มเติม 

โดยบีโอไอจะพิจารณาให้เงินสนับสนุนรายละ 20-50 ล้านบาท แต่ต้องไม่เกินมูลค่าเงินที่ได้รับการสนับสนุนจาก Listed VC ซึ่งบีโอไอจะจ่ายเงินสนับสนุน 50% เมื่อบริษัทได้รับเงินสนับสนุนจาก Listed VC ตามจำนวนที่กำหนดเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีก 50% จะจ่ายเมื่อบริษัทดำเนินการตามตัวชี้วัดที่กำหนดสำหรับแต่ละรายแล้วเสร็จ นอกจากเงินสนับสนุนแล้ว ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่เข้ามาทำงานในบริษัทจะได้รับการอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และบริษัทยังคงสามารถขอรับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรได้ตามมาตรการปกติของบีโอไออีกด้วย

ทั้งนี้ ในการขับเคลื่อนมาตรการส่งเสริมสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพสูง ได้มีการแต่งตั้งคณะทำงานกลั่นกรองโครงการ ซึ่งจะเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างบีโอไอและหน่วยงานที่มีประสบการณ์ในการส่งเสริมสตาร์ทอัพ เช่น สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ เป็นต้น

“แหล่งเงินทุนและบุคลากร เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเติบโตของสตาร์ทอัพ บีโอไอจึงได้ออกมาตรการสนับสนุนทั้งสองด้านนี้ ผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับกองทุน เวนเจอร์ แคปปิตอล ระดับมืออาชีพ ในการร่วมกันส่งเสริมสตาร์ทอัพไทยที่มีศักยภาพ ให้มีเงินทุนเพียงพอในการต่อยอดการพัฒนาเทคโนโลยี รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ ให้ขยายออกไปสู่ตลาดโลก และเพิ่มโอกาสที่จะเติบโตไปสู่ระดับยูนิคอร์นต่อไป อีกทั้งยังเป็นก้าวสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมแห่งภูมิภาคด้วย” นายนฤตม์ กล่าว