แต่พายุหมุนทางเศรษฐกิจยังไม่ทันจะก่อตัว โครงการนี้ทำให้นายกรัฐมนตรีและองคาพยพต่างๆ ในรัฐบาลหัวหมุนตั้งแต่ต้น โดนสารพัดประเด็นที่ส่วนใหญ่มาจากความไม่ชัดเจน ถาโถมโจมตีมาตลอด และเกิดคำถามมากมายให้ประชาชนหัวหมุนมึนงงไปด้วย

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรูปแบบของเงินที่จะแจกให้ประชาชน จะเอาเงินจากแหล่งใดมาใช้ท่ามกลางสถานะการคลังและงบประมาณแผ่นดินที่มีจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแหล่งเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่รัฐบาลลังเลใจอยากหยิบเงินก้อนโตจากตรงนี้มาใช้ แต่ยังไม่สามารถหาทางป้องกันความสุ่มเสี่ยงเรื่องข้อกฎหมายได้เลย  

รวมถึงข้อสงสัยในเรื่องช่องทางการเปิดให้ลงทะเบียนและรอรับเงินดังกล่าว เดิมโฆษณาว่าจะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและจัดทำรูปแบบใหม่สุดล้ำ แต่สุดท้ายกลับไปใช้ของเดิมที่มีมาตั้งแต่ปี 2564 คือ แอปพลิเคชัน “ทางรัฐ” แพลตฟอร์มดิจิทัลที่พัฒนาโดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (สพร.) ใช้เป็นศูนย์กลางรวมบริการต่างๆจากภาครัฐไว้ในที่เดียว

แต่ก็ยังเกิดปัญหาให้รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข เพราะแค่วันแจ้งข่าวสารให้พ่อแม่พี่น้องชาวไทยไปดาวน์โหลดแอปพลิเคชันนี้รอไว้ล่วงหน้า ก่อนถึงวันเริ่มลงทะเบียนเข้าโครงการฯ วันที่ 1 ส.ค.2567  ปรากฏว่ายอดดาวน์โหลดพุ่งแบบก้าวกระโดด ทำแอปฯล่มในทันใด จึงน่าหวั่นใจว่าเมื่อถึงวันลงทะเบียนโครงการฯจริง จะอลหม่านขนาดไหน

ส่วน 4 ช่องทางที่รัฐบาลเปิดไว้สำหรับผู้ที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และคนมีสมาร์ทโฟนแต่ต้องการความช่วยเหลือในการลงทะเบียน ทั้งศูนย์ดิจิทัลชุมชน ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. และที่ทำการไปรษณีย์ของบริษัท ไปรษณีย์ไทย แม้มีอยู่ทั่วประเทศ แต่ไม่ได้มีอยู่ทุกพื้นที่ และไม่ตอบโจทย์เพียงพอกับชาวบ้านอีกมากที่อยู่ในชนบทห่างไกล

อีกทั้ง ผู้สูงวัย ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ก็มีคำถามถึงอุปสรรคหรือข้อจำกัดของคนกลุ่มนี้ในการลงทะเบียนรับสิทธิ์ และถ้าได้รับเงินดังกล่าวแล้ว จะเอาไปใช้จ่ายได้อย่างไร และจะสกัดพวก “หวังดีประสงค์ร้าย” หาประโยชน์จากกลุ่มดังกล่าวได้อย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้รัฐบาลไม่เตรียมการไว้ล่วงหน้า ทั้งที่มีบทเรียนให้เห็นๆมาตั้งแต่โครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” และ “คนละครึ่ง” ยุครัฐบาล“พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

นอกจากนี้ มีเสียงเล่าลือว่าร้านค้าหลายรายเตรียมใช้เทคนิคซิกแซก แปลงสินค้าหวังรับเงินดิจิทัลมาแปลงเป็นเงินสดกลับคืนคนซื้อเอาไปใช้จ่ายตามใจ ซ้ำรอยปัญหาในโครงการ “คนละครึ่ง”

ขณะเดียวกันมีเสียงจากร้านค้าจำนวนไม่น้อย ไม่อยากร่วมโครงการนี้ด้วยข้ออ้างความยุ่งยากเรื่องการรับเงินรายได้ และเรื่องระบบภาษี นอกจากนี้มีข้อกังวลจากหลายฝ่ายถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ลงทะเบียนว่าอุดปํญหารั่วไหลได้แค่ไหน

รัฐบาลอย่ามองข้ามเสียงสะท้อนเหล่านี้ แล้วเร่งแก้ไขปิดจุดอ่อนก่อน”เรือธง”จะล่มลงเหวทั้งคณะ.