เมื่อวันที่ 31 ก.ค. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท วาระ 2-3 ตามที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ พิจารณาเสร็จแล้ว

โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า ยืนยันตัวเลขกระทรวงการคลังที่ระบุโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.2-1.8% แต่มีคำห้อยท้ายว่า ขึ้นอยู่กับแหล่งที่มางบประมาณ เงื่อนไขโครงการ จำนวนผู้เข้าร่วมโครงการ และพฤติกรรมการใช้จ่ายเงิน ขณะนี้ไม่มีโมเดลใดรองรับผลโครงการได้ชัดเจน เนื่องจากไม่เคยมีโครงการใดในประเทศที่มีข้อจำกัดเรื่องการใช้ ระยะทาง กรอบการบังคับใช้ 2 รอบมาก่อน จึงไม่มีตัวเลขชี้ชัดเฉพาะให้เกิดความมั่นใจ จะเชื่อตัวเลขของใครก็ขอให้เดินหน้าโครงการ เชื่อว่าตัวเลขร้อยละ 1.2-1.8 เป็นไปได้ อย่าคิดว่าโครงการใดของรัฐเป็นยาวิเศษปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ ไม่ยืนยันดิจิทัลวอลเล็ตเป็นยาวิเศษขนาดนั้น แต่อย่ามองแค่มิติตัวเลขจะกระตุ้นจีดีพีเติบโตเท่าไร แต่ยังมีผลที่เกิดขึ้นอีกมากมาย เช่น การเกิดกำลังซื้อในหมู่ประชาชน 50 ล้านคน ระบบแอปพลิเคชันนำไปสู่การเป็น E-government เทียบเท่าได้กับการเก็บข้อมูล เหมือนประชาชนไปติดต่อส่วนราชการโดยตรง ไม่มีแอปใดลงทะเบียนได้ถึง 40-50 ล้านคน ช่วยให้นำข้อมูลมารวมกันไปต่อยอดนโยบายรัฐอื่นๆ ส่วนความเป็นห่วงเงินจะกระจุกตัวกับรายใหญ่นั้น ขอย้อนถาม กมธ. ที่สงวนความเห็นว่า นโยบายของท่าน เช่น เบี้ยผู้สูงอายุที่เติมเงินสดเป็นห่วงหรือไม่ว่า เงินจะกระจุกตัวรายใหญ่ เพราะผู้สูงอายุก็เข้าร้านสะดวกซื้อเช่นกัน ยืนยันจะแจกเงินได้ไม่เกินเดือน ธ.ค. ถึงมือประชาชนแน่นอน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สมาชิกอภิปรายยาวนานกว่า 2 ชั่วโมง ที่ประชุมลงมติเห็นชอบ มาตรา 3 ตามที่ กมธ.เสียงข้างมากเสนอมา ด้วยคะแนน 287 ต่อ 170 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 1.