นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้นัดประชุมวุฒิสภา นัดที่ 2 ในวันที่ 2 ส.ค. นี้ โดยมีวาระพิจารณาสำคัญ คือ การแก้ไขข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา เพื่อปรับบางบทบัญญัติให้สอดคล้องกับจำนวน ของ สว. รวมถึงภารกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจำนวนของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) สามัญ และ จำนวน กมธ.ในแต่ละคณะ

มงคล สุระสัจจะ

นายสรชาติ วิชย สุวรรณพรหม สว. ยกร่างข้อบังคับดังกล่าว การแก้ไขเรื่องกำหนดจำนวน กมธ. กำหนดให้ กมธ.สามัญประจำวุฒิสภามีจำนวน  23 คณะ แต่ละคณะประกอบด้วย กมธ.จำนวนไม่น้อยกว่า 9 คน แต่ไม่เกิน 17 คน กมธ.ประกอบด้วย 1. กมธ.การเกษตรและสหกรณ์ 2. กมธ.การคมนาคม 3. กมธ.การเศรษฐกิจการเงินการคลังและรัฐวิสาหกิจ 4. กมธ.การต่างประเทศ 5. กมธ.การทหารและความมั่นคงของรัฐ 6. กมธ.การท่องเที่ยวและกีฬา 7. กมธ.การปกครองท้องถิ่น 8. กมธ.การบริหารราชการแผ่นดิน 9. กมธ.การพลังงาน 10. กมธ.การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน

11. กมธ.การพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส 12. กมธ.การกฎหมายการยุติธรรมและการตำรวจ 13. กมธ.การแรงงาน 14. กมธ.การอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม 15. กมธ.เทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารและการโทรคมนาคม 16. กมธ.ศาสนาคุณธรรมจริยธรรมศิลปะและวัฒนธรรม 17. กมธ.การศึกษา 18. กมธ.การสาธารณสุข 19. กมธ.กิจการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญและติดตามการบริหารงบประมาณ 20. กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 21. กมธ.ศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล 22. กมธ.การพาณิชย์และการอุตสาหกรรม 23. กมธ.สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค

ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวว่า สว.ขั้วสีน้ำเงิน จะยึด กมธ.ชุดที่สำคัญๆ ไว้ดูแลเอง โดยเฉพาะชุดที่ยึดโยงกับกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยดูแล ซึ่งก็ต้องดูการเกลี่ยโควตากับกลุ่ม สว.พันธุ์ใหม่ต่อไปว่า สายพันธุ์ใหม่จะได้เป็นประธาน กมธ.คณะไหนบ้าง

ทั้งนี้ มีข้อบังคับที่น่าสนใจคือ “ให้ยกเลิกหมวด 10 ภารกิจด้านการปฏิรูปประเทศและยุทธศาสตร์ชาติ” เท่ากับ สว.จะไม่ติดตามเรื่องที่รัฐบาลจะต้องปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีอีกต่อไป จากเดิมที่ สว.ตามบทเฉพาะกาลมีอำนาจหน้าที่นี้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่า หากมีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ จะให้ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาตินี้เสีย เพราะหลายฝ่ายมองว่า แค่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ออกทุก 5 ปี ก็เพียงพอแล้ว และการล็อคยุทธศาสตร์ชาติ จะไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งเมื่อมาถึงวันนี้คิดว่า เรื่องนี้ทำไม่ยาก เพราะหลายคนคงลืมๆ เรื่องยุทธศาสตร์ชาติไปแล้วด้วยซ้ำ

พร้อมกันนี้ให้วุฒิสภาตั้ง กมธ.วิสามัญการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ จำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ในจำนวนนี้ให้ประกอบด้วยบุคคลที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวน กมธ.ทั้งหมด โดยมีอำนาจและหน้าที่พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงศึกษาแนวทางการเสริมสร้างโอกาส สิทธิความสามารถการเข้าถึงทรัพยากรความเท่าเทียม บูรณาการในการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม รวมทั้งติดตามการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในทางปฏิบัติอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง

และให้ตั้ง กมธ.วิสามัญศึกษาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มีจำนวนไม่น้อยกว่า 25 คน ในจำนวนนี้ประกอบด้วยบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกวุฒิสภาไม่เกินกึ่งหนึ่งของจำนวน กมธ.ทั้งหมด มีอำนาจและหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์บทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ผลการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ ประเด็นและแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ การรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเพื่อประกอบการพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

การทำงานของ กมธ.สองชุดนี้น่าสนใจ เรื่องความเหลื่อมล้ำถูกมองว่า เป็นปัญหาเรื้อรังในประเทศไทยมานาน แนวทางของวุฒิสภา“จากสาขาอาชีพ” จะแตกต่างกันตามกลุ่มที่มาหรือไม่อย่างไร สาเหตุของความยากจนและความเหลื่อมล้ำมีหลายด้าน แต่ละกลุ่มก็น่าจะมีแนวทางในแบบของตัวเอง เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเข้าใจว่า กมธ.วิสามัญของ สว.น่าจะทำข้อเสนอแนะ เมื่อมีรายงานออกมา จะมีความหลากหลาย จะสามารถล้างข้อครหาเกี่ยวกับ “ที่มา สว.ไม่ตรงปก” คือไม่ใช่ผู้มีความรู้ความสามารถในสายอาชีพนั้น หรือเป็นตัวแทนในอัตลักษณ์นั้น..ได้หรือไม่

วิสุทธิ์ ไชยณรุณ

ในวันที่ 31 ก.ค. ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะประชุมพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี พ.ศ.2567 หรือเติมเงินเข้างบกลางปี 67 รวม 1.22 แสนล้านบาท เงินมาจากการกู้และภาษี เพื่อนำเงินไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ประธานวิปรัฐบาลเชื่อว่า การประชุมใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงแล้วเสร็จ เนื่องจากมีผู้เสนอแปรญัตติไว้ประมาณ 20 คน ประชาชนรอความหวังโครงการดิจิทัลวอลเล็ตอยู่ เชื่อมั่นล้านเปอร์เซ็นต์ไม่มีปัญหา ขอฝากให้ประชาชนรอติดตามการพิจารณาในวันที่ 31 ก.ค.นี้

ธีระชัย แสนแก้ว

นายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านขออภิปรายในสภาคือ เรื่องงบประมาณรายจ่ายปี 2567 ที่จะต้องใช้ให้จบในปี 2567 จะนำไปใช้ข้ามปี 2568 ได้หรือไม่ แต่สำนักงบประมาณยืนยันว่า งบปี 2567 สามารถเหลื่อมปีไปใช้ในปี 2568 ได้

ขณะที่บรรยากาศในการประชุม กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปี2567 ที่มีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง เป็นประธาน มีข้อสังเกต อาทิ ให้คณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) เข้ามามีส่วนร่วมให้คำปรึกษา และประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการที่จะใช้งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปี 2567 โดยเฉพาะในด้านที่จะกระทบต่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีกค้าส่ง ทั้งภาพรวมของตลาดระดับประเทศและระดับพื้นที่ เนื่องจากตลาดค้าปลีกค้าส่งในปัจจุบันมีการกระจุกตัวค่อนข้างสูง

ควรมีการประชาสัมพันธ์การกระทำที่เข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการดิจิทัลวอลเลตให้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ เพื่อเป็นการป้องกันการกระทำความผิด และควรมีหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม กรณีที่พบเห็นการกระทำความผิดในการใช้เงินตามโครงการดังกล่าว โดยมีช่องทางที่ประชาชนสามารถติดต่อได้โดยสะดวก ควรให้คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล(สคส.) เข้ามาติดตามคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลผู้ร่วมโครงการ

ก็มีความพยายามทำเรื่องเงินดิจิทัลให้รัดกุมขึ้น ในขณะที่วันที่จะแจกจ่ายได้ ยังต้องรอกระทรวงพาณิชย์ยืนยันเรื่องร้านค้า สินค้าที่ใช้ได้ และกระทรวงการคลังยืนยันเรื่องวันเบิกจ่าย จะไปถึงเดือน ธ.ค.หรือไม่ ..และที่เป็นที่จับตามากคือ โครงการกระชากเศรษฐกิจให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยจนจีดีพีขึ้นได้จริงหรือไม่.

ทีมข่าวการเมือง