เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ได้นัดพิจารณาคำร้องอุทธรณ์คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในวันที่ 30 ก.ค. 67 ซึ่งเป็นการนั่งพิจารณาครบองค์คณะ 6 คน ประกอบด้วย 1.นายสมรรถชัย วิศาลาภรณ์ ประธาน ก.พ.ค.ตร. 2.นายธวัชชัย ไทยเขียว กรรมการ 3.นายวันชาติ สันติกุญชร กรรมการ 4.พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ กรรมการ 5.พล.ต.อ.อำนาจ อันอาตม์งาม กรรมการ และ 6.พล.ต.ท.ปัญญา เอ่งฉ้วน กรรมการ ก.พ.ค.ตร. ส่วน พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี หนึ่งในคณะกรรมการได้ยื่นถอนตัวตั้งแต่ที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เริ่มยื่นอุทธรณ์คำสั่งออกจากราชการ เนื่องจากเคยมีข้อพิพาทระหว่างกันหลายเรื่องในอดีต

โดยมีการเปิดโอกาสให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผู้อุทธรณ์และคู่กรณี คือ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) เป็นผู้ลงนามคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน มาชี้แจงด้วยวาจา

หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ร้องนำมาแถลงด้วยวาจาต่อคณะกรรมการ ประกอบกับพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ได้รวบรวมไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คาดว่าจะใช้เวลาไม่นาน

ทั้งนี้ หาก ก.พ.ค.ตร. พิจารณาแล้วเห็นว่าคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนไม่ชอบด้วยกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กลับเข้ารับราชการในตำแหน่งเดิมโดยทันที พร้อมคืนสิทธิประโยชน์ย้อนหลังไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้ออกฯ คือวันที่ 18 เม.ย. 67 ในทางกลับกันหาก ก.พ.ค.ตร. วินิจฉัยว่าคำสั่งให้ออกจากราชการฯ นั้น ชอบด้วยกฎหมาย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็สามารถใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายใน 90 วันนับตั้งแต่วันที่ทราบ หรือถือว่าทราบคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.