สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากนครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อวันที่ 28 ก.ค. ว่านายแอนโทนี บลิงเคน รมว.การต่างประเทศสหรัฐ พบหารือกับนายหวัง อี้ รมว.การต่างประเทศจีน นอกรอบการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ที่นครหลวงเวียงจันทน์ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา


ทั้งนี้ บลิงเคนยืนยันว่า การพบหารือดังกล่าว ซึ่งใช้เวลานานประมาณ 1 ชั่วโมง กับอีก 20 นาที เกิดขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศที่เปิดกว้างและสร้างสรรค์ โดยสหรัฐแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับ “พฤติการณ์ก้าวร้าวและยั่วยุ” ของรัฐบาลปักกิ่ง ในทะเลจีนใต้ โดยเฉพาะกับฟิลิปปินส์ และบรรยากาศตึงเครียดบนช่องแคบไต้หวัน ซึ่งจีนจัดการซ้อมรบปิดล้อมเกาะไต้หวัน หลังประธานาธิบดีไล่ ชิง-เต๋อ สาบานตนรับตำแหน่งผู้นำไต้หวันคนใหม่ เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ที่ผ่านมา


ด้านกระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ ว่าสหรัฐควรถอยห่างจาก “การสุมไฟความขัดแย้ง การกวนน้ำให้ขุ่น และการบ่อนทำลายเสถียรภาพทางทะเล” พร้อมทั้งเตือนว่า “ความท้าทายที่มีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีน ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง”

นายแอนโทนี บลิงเคน และนายหวัง อี้ พบหารือกันนอกรอบการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ที่นครหลวงเวียงจันทน์ ประเทศลาว


ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ระบุด้วยว่า เมื่อใดก็ตามที่กลุ่มผู้แบ่งแยกดินแดนแสดงท่าทียั่วยุ จีนไม่ลังเลที่จะดำเนินมาตรการตอบโต้
นอกจากนี้ แถลงการณ์ระบุด้วยว่า หวังกล่าวกับบลิงเคนเกี่ยวกับสงครามในยูเครน ว่าสหรัฐควรเลิกการเลือกปฏิบัติ ด้วยการใช้มาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว และการใช้อำนาจด้านอาวุธระยะไกล และจีนไม่มีทางยอมรับการใส่ร้ายป้ายสี การกดดันและการข่มขู่ และพร้อมดำเนินการเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบ้านเมือง ตลอดจนสิทธิอันชอบธรรมของตัวเอง


เกี่ยวกับจุดยืนของรัฐบาลปักกิ่งเรื่องยูเครน หวังกล่าวว่า “ชัดเจนอยู่แล้ว” ว่าจีนสนับสนุนสันติภาพและการเจรจาตามแนวทางการทูต
อนึ่ง ก่อนพบหารือกับหวัง บลิงเคนประชุมร่วมกับรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนทั้ง 10 แห่ง และกล่าวว่า อาเซียนและสหรัฐต้องทำงาน “ต้องเพิ่มความร่วมมือกันเพื่อก้าวข้ามผ่านความท้าทาย” ซึ่งความท้าทายดังกล่าวรวมถึงจีนซึ่ง “ยกระดับความรุนแรงและดำเนินการผิดกฎหมาย” ต่อฟิลิปปินส์ ในประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ในทะเลจีนใต้ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน บลิงเคนเน้นย้ำจุดยืนด้านนโยบายต่างประเทศ และความมั่นคงของสหรัฐ ซึ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริม “เสรีภาพและการเปิดกว้างของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก”.

เครดิตภาพ : AFP