กีฬาโอลิมปิก ครั้งที่ 33 ในปี ค.ศ. 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส จะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ ในวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม 2567 และจะแข่งกันยาวจนไปจบกันในวันที่ 11 สิงหาคม 2567

ครั้งนี้ มีนักกีฬาไทยผ่านรอบคัดเลือกเข้าไปแข่งขันในโอลิมปิกได้ทั้งสิ้น 51 คน จากทั้งสิ้น 17 ชนิดกีฬา และ 16 สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ในจำนวนนี้ มีนักกีฬาหน้าใหม่ถึง 37 คน

ไปดูกันว่าความหวังของทัพนักกีฬาไทยในครั้งนี้มีใครกันบ้าง?

ความหวังสูงสุด
ความหวังสูงสุดของทัพไทยในครั้งนี้อยู่ที่ “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ จากกีฬาเทควันโด ในรุ่น 49 กิโลกรัมหญิง เจ้าของเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิกครั้งที่แล้ว ที่โตเกียว

พาณิภัค เคยได้เหรียญโอลิมปิกมาแล้ว 2 เหรียญ คือ เหรียญทองแดง ในปี 2016 และเหรียญทอง ในปี 2020

ในบรรดานักกีฬาไทย มีเพียง “มนัส บุญจำนงค์” ที่ทำได้ดีกว่าเธอคือ เหรียญทอง ในปี 2004 และเหรียญเงิน ในปี 2008

ถ้าหากคว้าเหรียญรางวัลได้ “เทนนิส” จะเป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่ได้เหรียญโอลิมปิก ถึง 3 เหรียญ ใน 3 ครั้ง

ครั้งนี้ รุ่น 49 กิโลกรัมหญิง ที่เธอจะลงแข่งขัน จะชิงเหรียญกันในวันที่ 7 สิงหาคม ก่อนหน้าวันคล้ายวันเกิด (8 ส.ค. 2540) อายุครบ 27 ปีเต็มของเธอแค่วันเดียว

พูดถึงฝีมือ และประสบการณ์ พาณิภัค คือเต็ง 1 ที่จะคว้าเหรียญทองอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่เมื่อลงสนามจริง อะไรก็เกิดขึ้นได้ ชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจทำให้เกิดความแตกต่าง

และขึ้นชื่อว่า “แชมป์” ทุกคนก็อยากจะเอาชนะ เธอจึงจะต้องเจอกับความท้าทายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้

บวกกับอายุ และสภาพร่างกาย ที่ใช้งานมานาน ทำให้เป็นไปตามวัย ไหนจะความเครียด และความกดดันจากคนทั้งประเทศที่ถาโถม ทำให้ 2 บ่าเล็กๆ ของเธอต้องแบกรับหลายสิ่งหลายอย่าง

พวกเราในฐานะคนไทยต้องเอาใจช่วยเธอกันให้สุดเสียงเลยทีเดียว

แต่อย่าลืมว่า ทัพเทควันโดไทย ภายใต้การนำของ “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ ถือว่าเป็นหนึ่งในสมาคมที่มีความพร้อมที่สุด

และได้เดินทางไปเก็บตัวที่อังกฤษล่วงหน้าก่อนจะเข้าปารีสหลายวัน ทำให้น่าจะช่วยได้เยอะ

และเรายังมี “โค้ชเช” ชัชชัย เช หัวหน้าโค้ช ที่จะนำทัพจอมเตะไทยลงแข่งโอลิมปิกในนาม “คนไทย” เป็นครั้งแรก

จึงไว้ใจได้เลยเรื่องความฟิต, ประสบการณ์, การแก้เกมหน้างาน หรือสภาพจิตใจ

นอกจาก พาณิภัค แล้ว ยังมีนักเทควันโดไทยอีก 2 คนในโอลิมปิกครั้งนี้ และถือว่าน่าจับตามองอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็น “ใบเตย” ศศิกานต์ ทองจันทร์ ในรุ่น 67 กิโลกรัมหญิง ที่กำลังผลงานดี และเคยชนะดีกรีมือ 1 ของโลกในรุ่นนี้มาแล้ว

และ “หยู” บัลลังก์ ทับทิมแดง เจ้าของเหรียญทองเอเชียนเกมส์ ในรุ่น 63 กิโลกรัมชาย

รายหลัง แนะนำให้จับตาดูให้ดีทีเดียว แม้ว่าที่ปารีส ต้องทำน้ำหนักขึ้นไปแข่งในรุ่น 68 กิโลกรัม ก็ตาม

เชื่อว่าจะมีเหรียญติดมือจากทัพเทควันโดแน่นอน

ความหวังรองลงมา
ความหวังรองลงมาจากเทควันโด คงต้องอยู่ที่แบดมินตัน ใน 2 ประเภทที่เราทำผลงานโดดเด่น

คือ “บาส-ปอป้อ” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ และทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ในประเภทคู่ผสม

และ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ในประเภทชายเดี่ยว

แต่แบดมินตันเป็นกีฬาที่ขึ้นอยู่กับหลายองค์ประกอบ โชค ดวง จังหวะในเกม หรือการแบ่งสายมีผลมาก ทุกอย่างจึงเป็นไปได้หมด

ขณะที่ในประเภทอื่น ก็อาจจะมีลุ้นเหมือนกัน โดยเฉพาะหญิงเดี่ยวอย่าง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ และ “เมย์ซ้าย” ศุภนิดา เกตุทอง

ส่วน มวยสากลสมัครเล่น ไม่ว่ายังไงก็ต้องหวัง แม้คราวนี้ ผู้สันทัดกรณีบอกว่าเบาไปนิด

และจากการประกบคู่ที่ออกมา ถือว่ามีโชคอยู่บ้าง ที่เราได้เข้าไปชกในรอบ 16 คนทันทีถึง 5 จาก 8 รุ่น

ซึ่ง 5 รุ่นนี้ ชกชนะ 2 ครั้ง ก็จะการันตีเหรียญทองแดงเป็นอย่างต่ำทันที

5 รุ่นที่เราได้บายในรอบแรกเป็นผู้ชาย 2 รุ่น คือ รุ่น 51 กิโลกรัม ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด และ รุ่น 63.5 กิโลกรัม บรรจง สินศิริ

และหญิง 3 รุ่น คือ 50 กิโลกรัม จุฑามาศ รักสัตย์, รุ่น 66 กิโลกรัม จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง, รุ่น 75 กิโลกรัม ใบสน มณีก้อน

แต่ถ้าถามว่า คนไหนมีลุ้นที่สุด คราวนี้ ต้องบอกว่าเป็นมวยหญิง จาก จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง รุ่น 66 กิโลกรัมหญิง และ “เฟี้ยว” จุฑามาศ จิตรพงศ์ รุ่น 54 กิโลกรัมหญิง

ขณะที่ผู้ชาย มีลุ้นจาก “เหลิม” ธิติสรรณ์ ปั้นโหมด รุ่น 51 กิโลกรัม

อีกหนึ่งกีฬาที่นับเป็นความหวังได้ก็คือกอล์ฟ

โดยเฉพาะกอล์ฟหญิง ที่เรามี 2 ยอดโปรสาวอย่าง “จีโน่” อาฒยา ฐิติกุล และ “แพตตี” ปภังกร ธวัชธนกิจ ที่ขึ้นชั้นระดับโลกแล้วทั้งคู่ และปีนี้ต่างมีแชมป์ในแอลพีจีเอ ทัวร์ไปแล้ว

ถ้าหากทุกอย่างเข้าทาง ฟอร์มมา สถานการณ์เป็นใจ อะไรก็เกิดขึ้นได้ในเกมกอล์ฟ

อาจมีลุ้น
คนอื่นๆ ที่มีลุ้น คงต้องมองไปที่มวย เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ และอีก 5 รุ่น คือชาย 2 รุ่น บรรจง สินศิริ รุ่น 63.5 กิโลกรัม กับ วีระพล จงจอหอ รุ่น 80 กิโลกรัม

หญิงอีก 3 รุ่น จุฑามาศ รักสัตย์ รุ่น 50 กิโลกรัม, ธนัญญา สมนึก รุ่น 60 กิโลกรัม และ ใบสน มณีก้อนรุ่น 75 กิโลกรัม ก็เป็นไปได้ทั้งหมด

ส่วนแบดมินตันประเภทอื่นนอกจากที่กล่าวมา อาจมีลุ้นจากหญิงคู่ จงกลพรรณ กิติธรากุล และ รวินดา ประจงใจ

รวมถึงกอล์ฟประเภทชาย ที่จับพลัดจับผลูอาจฟอร์มดีจาก กิรเดช อภิบาลรัตน์ และพชร คงวัดใหม่

หรือกระทั่ง “น้องเอสที” วารีรยา สุขเกษม นักสเก็ตบอร์ดวัย 12 ปี ก็ต้องจับตามอง

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะมีลุ้นแค่ไหนหรือคว้าเหรียญรางวัลมาครองได้หรือไม่ การได้ไปแข่งขันในระดับโอลิมปิกได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จสูงสุดแล้วสำหรับนักกีฬา

นอกจากที่กล่าวมา ยังมีอีกหลายคน หลายประเภทที่เราต้องติดตามว่าจะทำผลงานในเวทีระดับโลกได้ดีแค่ไหน

โดยเฉพาะ “เจ้าบิว” ภูริพล บุญสอน ซึ่งต่อสู้ฝ่าฟันจนได้เข้าไปแข่งในประเภท 100 เมตรชาย ทำให้เป็นอีกคนที่น่าสนใจ และต้องเอาใจช่วยกันเต็มที่.