เมื่อวันที่ 25 ก.ค. พ.ต.ท.ชัยวุธ ศรีวิเลิศ สว.(สอบสวน) สภ.หัวไทร ได้สอบปากคำ นางณี (นามสมมุติ) อายุ 49 ปี มารดาของ ด.ญ.เอ (นามสมมุติ) อายุ 14 ปี นักเรียนชั้น ม.2 โรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช จากกรณีที่เมื่อเย็นวานนี้ (24 ก.ค.) นางณี แจ้งว่า ด.ญ.เอ ถูกนายจัน (นามสมมุติ) อายุ 72 ปี ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บ ก่อนใช้กำลังข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ โดย ด.ญ.เอ ได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจอย่างแสนสาหัส ซึ่งแพทย์ทำการตรวจร่างกายระบุชัดเจนว่าอวัยวะเพศถูกล่วงละเมิดจนฉีกขาด

นางณี เล่าว่า ด.ญ.เอ บุตรสาวของตนเล่าเหตุการณ์ว่า ในขณะที่ขี่รถ จยย. ผ่านพื้นที่สวนปาล์มของนายจัน พบนายจันยืนอยู่ในสวนปาล์มและตะโกนเรียกให้จอดรถ เมื่อจอดรถและถามนายจัน กลับไปว่ามีธุระอะไร ก่อนที่นายจัน ได้เดินเข้ามาใกล้แล้วใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ ด.ญ.เอ ลากลงจากรถ จยย. จากนั้นได้ลากตัวไปกับพื้นเข้าไปในสวนปาล์ม และใช้ผ้าขาวม้ารัดคอพร้อมใช้ท่อนไม้ตีไปบริเวณใบหน้าและหน้าท้องหลายครั้ง และลงมือข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ โดยนายจัน ได้พูดว่า “วันนี้เป็นวันสุดท้ายของมึง”

จนกระทั่งในช่วงที่นายจันเผลอ ด.ญ.เอ ได้รวบรวมพละกำลังวิ่งหลบหนีสุดชีวิต จนมาพบป้าของ ด.ญ.เอ จึงได้แจ้งให้ทราบว่าถูกนายจัน ดักฉุดกระชากลากถูไปทำร้ายร่างกายและข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ จึงแจ้งขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยฯ ช่วยนำส่ง รพ.หัวไทร ในสภาพมอมแมม ใบหน้าและลำตัวช้ำบวมอย่างหนัก เสื้อผ้ายับยู่ยี่ เปรอะเปื้อนดินและหญ้าเต็มไปหมด โดย ด.ญ.เอ ยังระบุว่านายจัน ได้แย่งโทรศัพท์มือถือของตนไปปาทิ้งในพงหญ้าอีกด้วย

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้เดินทางไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุพบนายจัน และเพื่อนๆ จำนวนหนึ่งกำลังแผ้วถางหญ้าในจุดที่เกิดเหตุ เพื่อทำลายหลักฐาน และค้นหาโทรศัพท์มือถือของ ด.ญ.เอ แต่หายังไม่พบ

ในขณะที่นายจัน ให้การภาคเสธอ้างว่า ด.ญ.เอ ขี่รถ จยย. เข้ามาในสวนปาล์มของตนจริง ซึ่งตนถือว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ได้ว่ากล่าวตักเตือนเรื่องความประพฤติแต่ ด.ญ.เอ กลับโต้เถียงคำไม่ตกฟาก ตนจึงบันดาลโทสะตบหน้าอย่างรุนแรงหลายครั้งจริง แต่ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเราตามที่กล่าวหา และพร้อมจะสู้คดีจนถึงที่สุด

โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและแจ้งสหวิชาชีพเข้าร่วมสอบสวนปากคำ ด.ญ.เอ ผู้เสียหาย โดยในวันพรุ่งนี้ทาง รพ.หัวไทร จะส่งตัว ด.ญ.เอ ผู้เสียหายไปตรวจภายในเพื่อเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอในช่องคลอด ว่าเป็นของนายจัน หรือไม่ ซึ่งถือเป็นหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในคดีนี้.