นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในไทยมีแนวโน้มที่ดีและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2567) การส่งเสริมการลงทุนเพิ่มสูงขึ้นในทุกขั้นตอน ทั้งการขอรับการส่งเสริม การอนุมัติให้การส่งเสริม การออกบัตรส่งเสริม และเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนโครงการและเงินลงทุน โดยตัวเลขการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีจำนวน 1,412 โครงการ เพิ่มขึ้น 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 458,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% สะท้อนถึงศักยภาพและพื้นฐานที่ดีของประเทศไทย ความเชื่อมั่น ของนักลงทุนที่มีต่อนโยบายรัฐบาล รวมทั้งผลจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอและหน่วยงานภาครัฐ
ทัังนี้ กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่า 139,725 ล้านบาท 2. ยานยนต์และชิ้นส่วน มูลค่า 39,883 ล้านบาท 3.เกษตรและแปรรูปอาหารมูลค่า 33,121 ล้านบาท 4.ปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ มูลค่า 25,344 ล้านบาท และ 5.ดิจิทัล มูลค่า 25,112 ล้านบาท
โดยมีการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีความสำคัญต่อการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ เช่น
– กิจการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ได้แก่ การผลิต Wafer, การออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์, การประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์และวงจรรวม 10 โครงการ เงินลงทุนรวม 19,543 ล้านบาท
– กิจการผลิตแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (Printed Circuit Board: PCB) 31 โครงการ เงินลงทุนรวม 39,732 ล้านบาท
– กิจการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ 8 โครงการ เงินลงทุนรวม 38,182 ล้านบาท
– กิจการ Data Center 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 24,289 ล้านบาท
– กิจการผลิตเครื่องจักร อุปกรณ์ หรือระบบ Automation 69 โครงการ เงินลงทุนรวม 10,271 ล้านบาท
– กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือขยะ 255 โครงการ เงินลงทุนรวม 72,475 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีบางกิจการที่เงินลงทุนไม่สูง แต่ส่งผลอย่างมากต่อการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะเป็นกิจการฐานความรู้ และเป็นกิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ เช่น
– กิจการพัฒนาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล หรือดิจิทัลคอนเทนต์ 59 โครงการ เงินลงทุนรวม 812 ล้านบาท
– กิจการสนับสนุนการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา การพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพการออกแบบทางวิศวกรรม บริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ และบริการสอบเทียบมาตรฐาน 13 โครงการ เงินลงทุนรวม 805 ล้านบาท
– กิจการ Smart Farming 3 โครงการ เงินลงทุนรวม 56 ล้านบาท
– กิจการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย 11 โครงการ เงินลงทุน 2,327 ล้านบาท
– กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC) 19 โครงการ เงินลงทุนรวม 274 ล้านบาท
– กิจการศูนย์จัดหาจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนระหว่างประเทศ (IPO) 16 โครงการ เงินลงทุนรวม 728 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 889 โครงการ เพิ่มขึ้น 83% เงินลงทุนรวม 325,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16%
โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่
1. สิงคโปร์ 90,996 ล้านบาท
2. จีน 72,873 ล้านบาท
3. ฮ่องกง 39,553 ล้านบาท
4. ญี่ปุ่น 29,987 ล้านบาท
5. ไต้หวัน 29,453 ล้านบาท
ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น เกิดจากการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัทสิงคโปร์ที่มีบริษัทแม่เป็นสัญชาติจีนในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ในแง่พื้นที่ เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 211,569 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 179,332 ล้านบาท ภาคเหนือ 32,972 ล้านบาท ภาคใต้ 15,694 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 14,087 ล้านบาท และภาคตะวันตก 4,705 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนการอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 1,451 โครงการ เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 476,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% ประโยชน์ของโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนเหล่านี้ คาดว่าจะเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอีกกว่า 1.3 ล้านล้านบาท/ปี โดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเพิ่มการใช้วัตถุดิบในประเทศกว่า 4.9 แสนล้านบาท/ปี และเกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 1 แสนตำแหน่ง
ขณะที่การออกบัตรส่งเสริม ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใกล้เคียงการลงทุนจริงมากที่สุด เพิ่มขึ้นมากเช่นเดียวกัน โดยมีจำนวน 1,332 โครงการ เพิ่มขึ้นร้อยละ 56 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุนรวม 438,733 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 87% ซึ่งจะนำไปสู่การลงทุนจริงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
นายนฤตม์ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง ทิศทางการลงทุนโลกยังคงมีแนวโน้มเคลื่อนย้ายการลงทุนและการปรับซัพพลายเชนทั่วโลก จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญของประเทศไทยที่ต้องช่วงชิงการลงทุนมาให้ได้ โดยบีโอไอจะให้ความสำคัญกับการบุกเจาะกลุ่มเป้าหมายเชิงรุก และส่งเสริมให้เกิดการลงทุนปรับโครงสร้างการผลิต เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มสูงขึ้น โดยจะเน้นดำเนินการใน 3 ด้านสำคัญ คือ
1. การสร้างฐานอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทและชิ้นส่วนสำคัญ แบตเตอรี่ระดับเซลล์ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงการผลักดันให้ไทยเป็นฐานของสำนักงานภูมิภาค (Regional Headquarters) และศูนย์กลางบุคลากรทักษะสูง (Talent) ของภูมิภาค โดยในช่วง 2 เดือนข้างหน้า บีโอไอมีแผนจัดโรดโชว์ที่เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และสิงคโปร์ รวมทั้งกิจกรรมเชิงรุกอื่นๆ เพื่อดึงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
2. การเชื่อมโยงอุตสาหกรรมระดับโลกกับซัพพลายเชนในประเทศ ผ่านการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น Subcon Thailand, THECA, Sourcing Day, Business Matching ฯลฯ เพื่อเพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ สร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการไทย และสร้างความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากร
3. การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ไทย ผ่านมาตรการยกระดับอุตสาหกรรมไปสู่ Smart and Sustainable Industry โดยส่งเสริมการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย นำระบบอัตโนมัติหรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในกิจการ ปรับเปลี่ยนมาใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานหรือพลังงานทดแทน หรือยกระดับสู่มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นมาตรการที่ผู้ประกอบการตื่นตัวและสนใจมายื่นขอรับการส่งเสริมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีคำขอตามมาตรการนี้จำนวน 192 โครงการ เพิ่มขึ้น 35% เงินลงทุนรวม 19,966 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 160%