ในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญ (รธน.) ได้นัดลงมติในคดีที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.)40 คน ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้นำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อโปรดเกล้าแต่งตั้ง “นายพิชิต ชื่นบาน” (ผู้ถูกร้องที่ 2) เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯทั้ง ๆ ที่รู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกร้องที่ 2 ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ (รธน.)เนื่องจากผู้ถูกร้องที่ 2 เคยถูกศาลฎีกามีคำสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
เป็นบุคคลที่กระทำการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริตและมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรธน. มาตรา 160 (4) และ (5)


เป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องทั้งสองสิ้นสุดลงตามรธน. มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ในวันพุธที่ 14 ส.ค. เวลา 09.30น. และนัดฟังคำวินิจฉัยเวลา 15.00 น. ต้องยอมรับคดีนี้มีความสำคัญมาก เพราะเกี่ยวข้องสถานะนายกฯ ถ้าหากศาลรธน.ชี้มูลความผิด นอกจากต้องพ้นจากสถานะผู้นำรัฐบาล คณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็ต้องสิ้นสภาพตามไปด้วย ซึ่งจะส่งผลถึงการเมืองในภาพรวม ต้องมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ พรรคร่วมรัฐบาลยังเป็นปึกแผ่นหรือไม่

ส่วนจะมีการสลับขั้วเปลี่ยนสูตรรัฐบาลหรือเปล่า ถ้ายังเป็นขั้วรัฐบาลเดิม พรรคเพื่อไทย(พท. ) จะผลักดันใครขึ้นมาเป็นนายกฯ ระหว่าง “นายชัยเกษม นิติศิริ” หรือ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคพท. ซึ่งอยู่ในบัญชีรายชื่อนายกฯ ของพรรคแกนนำรัฐบาล ที่นำเสนอในช่วงเลือกตั้ง ซึ่งคดีนี้ถือเป็นคดีใหญ่ทางการเมืองคดีที่สอง ต่อจากคดียุบพรรคก้าวไกล(ก.ก. ) ซึ่งศาลรธน.นัดอ่านคำวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค. เวลา 15.00 น.เช่นเดียวกัน ส่วนความพร้อมของรัฐบาล ที่ต้องการผลักดันโครงการแจกหมื่น ภายใต้โครงการดิจิทัล วอลเล็ท เมื่อวันที่ 24 ก.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลตั้งโต๊ะแถลงใหญ่ แจกแจงถึงขั้นการลงทะเบียน พร้อมประกาศใครผ่านไม่ผ่านในการการเข้าร่วมโครงการ วันที่ 22 ก.ย. ก่อนเริ่มใช้จ่ายจริงในช่วงสิ้นปี

โดย “นายพิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯ และ รมว.คลัง พร้อมด้วยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง และนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง ได้ร่วมกันแถลงความคืบหน้าโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน ดิจิทัล วอลเล็ทโดยนายพิชัย กล่าวว่า โครงการดิจิทัล วอลเล็ท จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และบรรเทาค่าครองชีพประชาชนได้ โดยจะก่อให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ 4 ลูก ตั้งแต่ระดับประชาชน ไปถึงร้านค้าขนาดเล็ก กระจายไปร้านค้าขนาดใหญ่ ตลอดจนสร้างโอกาสการลงทุนตามมา

ด้าน “นายจุลพันธ์” กล่าวต่อว่า การลงทะเบียนจะเปิดให้ผู้มีสิทธิเข้าร่วมได้ทุกคน ซึ่งคาดไว้ 40-50 ล้านคน โดยไทม์ไลน์แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1. กลุ่มผู้มีสมาร์ทโฟน จะเปิดให้ลงทะเบียนตั้งแต่เวลา 00.01 ของวันที่ 1 ส.ค.-15 ก.ย.67 กลุ่ม 2.ไม่มีสมาร์ทโฟน ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ จะให้ลงทะเบียน 16 ก.ย.-15 ต.ค.67 ซึ่งจะให้เจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน  และ 3.ร้านค้าจะเปิดลงทะเบียนตั้งแต่ 1 ต.ค.67

โดยโครงการนี้จะเริ่มใช้จ่ายได้ในไตรมาส4 ของปีนี้ สำหรับคุณสมบัติสิทธิยังคงเหมือนเดิม คือ มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน สัญชาติไทย  อายุ 16 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ 15 ก.ย. 67  ไม่มีรายได้เกิน 840,000 บาท ในปีภาษี 2566  ไม่มีเงินฝากเกิน 500,000 บาท รวมถึงต้องไม่เคยจำคุก ไม่เคยถูกระงับสิทธิจากโครงการอื่นของรัฐ ส่วนร้านค้าที่เข้ามาลงทะเบียนมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมกว่า 2 ล้านราย อาทิ ร้านค้านิติบุคคล 910,000 ราย ร้านค้าธงฟ้า 198,000 ราย ร้านค้าโชห่วย 400,000 ราย ร้านค้าเกษตรและวิสาหกิจชุมชน 93,000 ราย ร้านค้าส่ง-ค้าปลีก 50,000 ราย และร้านค้าปลีกที่กระจายอยู่ในห้างสรรพสินค้าอีก 500,000 ราย

ส่วนความเห็นภาคธุรกิจ “นายสนั่น อังอุบลกุล” ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า หอการค้าไทย และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 0.2% ทำให้ทั้งปี 67 เศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นได้ 2.6-2.7% สูงกว่าที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ไว้ที่  2.4% ซึ่งหอการค้าไทยอยากเห็นว่า เงินดิจิทัล จะช่วยส่งเสริมให้เอสเอ็มอี ร้านค้า ชุมชนต่าง ๆ ต่อยอดการทำธุรกิจได้ เพราะจะทำให้เงินเกิดการหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับปีหน้า เชื่อว่า ไตรมาสแรก จะได้อานิสงส์จากเงินดิจิทัล เพราะเป็นช่วงมีเทศกาลท่องเที่ยวมาก และเทศกาลต่าง ๆ ประชาชนจะออกมาใช้จ่ายมากขึ้น ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจนในไตรมาส 1 ปี 68.

ด้านความเห็นแกนนำพรรคฝ่ายค้านอย่าง “น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล” สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล(ก.ก.) ในฐานะกรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ที่เกาะติดโครงการนี้มาตลอด ให้ความเห็นภายหลังกระทรวงการคลัง แถลง “ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการเพื่อประชาชน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจแล้ววันนี้” ว่า มีเพียงแค่เรื่องวันในการลงทะเบียน นอกจากนั้นแล้วยังไม่มีความชัดเจนใดๆ เลย แม้จะมีการทวงถามจากสื่อมวลชนแล้วก็ตาม

แต่ที่อยากจะพูดถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจ ภายหลังจากเกิดพายุหมุนดิจิทัลวอลเล็ตแล้ว เศรษฐกิจจะโตแค่ไหน โดยกระทรวงการคลังมีการปรับเป้าหมายจากเดิมที่คาดว่าจะเป็น 1.2% ถึง 1.8% ของจีดีพี เหลือ 0.9% ของจีดีพี ส่วนสภาพัฒนาการเศรฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) ระบุว่า จีดีพีของ ปี 67 โตประมาณ 0.3% ในปี 68 โตขึ้นอีก 0.3% แต่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.) บอกว่า ปี 67 โต 0.3% ปี 68 โต 0.2% รวมตลอดโครงการ โตประมาณ 0.9% ซึ่งข้อมูลทั้งหมดก็ออกมาตรงกันว่า ไม่สามารถกระตุ้นได้ถึง 1% ของจีดีพี ซึ่งอาจจะเป็นเพราะมีการปรับลดตัวเป้าหมาย หรือแหล่งที่มาของเงินกู้ พอกลับไปใช้เงินงบประมาณ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ได้มีมากเท่าที่ควร คงต้องรอดูข้อท้วงติงจากฝ่ายต่างๆ และผลสัมฤทธิ์จากโครงการ จะสร้างพายุหมุนจากเศรษฐกิจได้จริงหรือไม่ และไทม์ไลน์ต่างๆจะเป็นไปอย่างที่มีการแถลงหรือไม่

ขณะที่ประเด็น นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯเรียก “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” รองนายกฯและรมว.มหาดไทย และ “นายสมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข มาหารือ โดยระบุว่า ควรมีพ.ร.บ.ควบคุมการใช้กัญชา แทนที่จะนำกลับไปกลับไปเป็นยาเสพติด หลังมีข่าวพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ไม่พอใจนโยบายนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด เนื่องจากขัดแย้งกับแนวทางของพรรค ซึ่งผลักดันมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงถึงความคืบหน้าการออกกกฎหมายเกี่ยวกับกัญชาว่า เป็นไปตามนโยบาย ซึ่งรมว.สาธารณสุข พูดชัดเจนมานานแล้วว่า ต้องออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข

เนื่องจากการออกพ.ร.บ.ต้องใช้เวลา ซึ่งขณะนี้ก็มีร่างพ.ร.บ. จ่อเข้าสู่การพิจารณา  4 ฉบับ จากหลายคณะ รวมถึงฉบับกระทรวงสาธารณสุข หากจะเอามาผนวกกัน ก็ต้องอาศัยกลไกของภาครัฐและสภาจัดการต่อไป เตรียมไว้พร้อมทุกอย่าง ย้ำว่า ทุกอย่างมีขั้นตอน ทั้งนี้หากมีข้อสั่งการอะไรก็จะมีการหารือกันอีกครั้ง เป็นไปตามนโยบายของนายกฯ และรัฐมนตรีแต่ถ้ามีการออกกฎหมายที่มีศักดิ์ใหญ่กว่า ในส่วนของประกาศที่เป็นกฎหมายรองกว่า ก็จะหมดสภาพไป ต้องรอดูกระบวนการทำคลอดพ.ร.บ.กัญชง กัญชา จะทำได้อย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาเหมือนในอดีตหรือไม่ หลังจากมีเคยกระบวนการเตะตัดขากันเองของพรรคร่วมรัฐบาล

ขณะที่ปมร้อนเรื่องสุดท้าย หนีไม่พ้น “พรรคพท.” หลังการออกมาแถลงข่าวของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” พร้อมทั่วระบุว่า ถ้าไม่ขับออก นั่นคือความทุกข์ของตนเอง ส่วนท่าทีของในสภาฯคงต้องเปลี่ยนล้านเปอร์เซ็นต์ แต่เอาอย่างไรบอกไปไม่สนุก ต้องใจเย็นๆ เมื่อถามว่าหลังจากนี้หากมีประเด็นอะไรแสดงว่า จะอภิปรายพรรคพท.ใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า” นี่รู้ใจได้อย่างไร แต่การอภิปรายก็แล้วแต่สถานการณ์​ แล้วหากใครจะออกไปวิจารณ์ก็ให้เอาพวกบิ๊กๆมาดีเบตกัน ว่าคนจะฟังใครมากกว่ากัน จิตใจผมสะอาดไม่เคยชั่ว ไม่เคยสร้างตัวเองให้ร่ำรวยในทางการเมือง ผมเคยสร้างมนุษย์บางคนจากที่ไม่มีอะไร จนร่ำรวยๆ ผมไม่อยากบอกชื่อ แต่ทุกคนคงรู้”

อีกทั้งยังกล่าวถึงความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ว่า “ชื่อยังไม่อยากได้ยิน ไม่มีแตกหัก เขาจะมาแคร์อะไรผม แต่พร้อมดีเบต ซึ่งตอนที่อยู่ต่างประเทศก็คุยกันตลอด ไม่คุยกันก็ตอนที่กลับมา และผมไม่อยากเปิดประตูความสัมพันธ์ หากจะพูดว่าใครมีบุญคุณต่อกัน ไม่มีใครรู้ แต่ผมรู้ ฟ้าดินรู้ ใครมีบุญคุณกับใคร” และเมื่อถามอีกว่าแล้วรัฐบาลจะอยู่ครบเทอมหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่าชาติหน้าบ่าย ๆ เพราะกลุ่มคณะการเมืองรวยแต่ประชาชนยากจน ปราบยาก็ไม่ประสีประสา คงต้องรอดูว่า พรรคพท.จะรับมืออย่างไร

กับท่าที “ร.ต.อ.เฉลิม” โดยเฉพาะบทบาทในสภาฯ หากทำให้พรรคแกนนำรัฐบาลได้รับความเสียหาย รวมถึงการพูดจาพาดพิง “นายทักษิณ” พร้อมทั้งท้าดีเบต ชี้ว่าฟ้าดินรู้ ใครมีบุญคุณกับใคร และยังเชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบเทอม ซึ่งถือเป็นปมร้อนที่อาจกระทบกับพรรคแกนนำรัฐบาล ในช่วงที่รัฐบาลกำลังเร่งสร้างผลงานเพื่อฟื้นคะแนนนิยม.