นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ว่า กระทรวงการคลัง ยังไม่ปิดช่องทางของการใช้แหล่งเงินตามมาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ เพื่อมาใช้โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท โดยยังมองว่าเป็นทางเลือกที่หนึ่งที่สามารถใช้ได้ เพราะปัจจุบันรัฐบาลได้เตรียมเงินไว้ 4.5 แสนล้านบาท เพราะประเมินว่าจะมีคนเข้าร่วมโครงการนี้ในระดับนี้

“ในกรณีมีประชาชนที่มีสิทธิได้รับเงินจากโครงการนี้มาเต็มทั้ง 100% หรือ 50.7 ล้านคน กระทรวงการคลัง ยืนยันว่า จะไม่เป็นปัญหาเรื่องแหล่งเงินมีไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ยอดจำนวนผู้เข้ามาลงทะเบียนใช้สิทธิในโครงการนี้ จะทราบชัดเจนหลังจากสิ้นเดือน ก.ย.นี้ไปแล้ว”

นายลวรณ กล่าวถึงกรณีที่มีการวิจารณ์ว่า การใช้งบประมาณปี 67 สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งจะมีบางส่วนไปใช้จ่ายในปีงบประมาณปี 68 ซึ่งเป็นรายจ่ายเหลื่อมปี ซึ่งตามกฎหมายงบประมาณรายจ่ายที่จะมีการใช้ข้ามปีได้นั้น จะต้องเป็นรายจ่ายที่มีการทำสัญญาผูกพันแล้วก่อนสิ้นปีงบประมาณ เช่น เป็นรายจ่ายที่มีการทำสัญญากับภาคเอกชนแล้วเท่านั้น โดยยืนยันว่าการใช้งบประมาณปี 67 ดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมายงบประมาณแต่อย่างใด เนื่องจากเมื่อมีประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และได้รับการตรวจสอบจากภาครัฐว่า เป็นผู้มีสิทธิตามเงื่อนไข จนกระทั่งมีการตอบรับว่ามีสิทธิในโครงการนี้แล้ว ถือว่าเข้าเงื่อนไขการใช้งบข้ามปีได้

สำหรับเงื่อนไขสำคัญของผู้ที่จะได้รับสิทธิในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต คือ จะต้องมีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป ณ 30 ก.ย. 67 มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 8.4 แสนบาท  ณ 31 ธ.ค. 66  และมีเงินในบัญชีเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท ณ 31 มี.ค. 67 

รายงานข่าวแจ้งว่า เดิมรัฐบาลวางแผนที่จะใช้เงินจาก 3 แหล่งสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ในวงเงินรวม 5 แสนล้านบาท โดยมาจากงบประมาณปี 67, งบประมาณปี 68 และแหล่งเงินจากมาตรา 28 โดยขอยืมจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) วงเงิน 1.72 แสนล้านบาท ซึ่งมีกระแสวิจารณ์จากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการนี้ว่า การใช้เงินจาก ธ.ก.ส. อาจขัดกับกฎหมาย วินัยการเงินการคลัง และภารกิจของ ธ.ก.ส.

อย่างไรก็ตาม ล่าสุด รัฐบาลได้ปรับเปลี่ยนแผนการใช้จ่าย เหลือ 4.5 แสนล้านบาท โดยไม่ใช่ช่องทางมาตรา 28 จาก ธ.ก.ส. เหลือแหล่งเงินจากการออก พ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติมปี 67 วงเงิน 1.6 แสนล้านบาท  และแหล่งเงินจากงบประมาณปี 68  ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 แสนล้านบาทเท่านั้น