วันที่ 23 ก.ค. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการ ตรึงเพดานราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลไม่ให้เกิน 33 บาทต่อลิตร ไปจนถึงวันที่ 31 ต.ค. 2567 ตามความสามารถของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง จากปัจจุบันกำหนดไว้จะสิ้นสุดวันที่ 31 ก.ค.นี้

“ผมไม่พอใจกลไกน้ำมันบ้านเราทุกวันนี้ ที่ปล่อยให้เป็นแบบนี้ ไม่เคยมีใครคิดจะแก้ไขระบบนี้ที่ใช้มานานตั้งแต่พวกท่านยังไม่เกิด ถึงขั้นตอนแรกยังไม่รู้เลยว่าต้นทุนน้ำมันเท่าไหร่ ขนาดจะขึ้นมาม่ายังต้องรู้ต้นทุน แต่นี่น้ำมันที่มีผลกระทบต่อชีวิตประชาชน ต่อระบบเศรษฐกิจ แต่กลับไม่มีกฎหมายควบคุมเลย ซึ่งตอนนี้ผมกำลังดำเนินการอยู่ โดยการร่างกฎหมายเอง ต้นฉบับเสร็จแล้ว อยู่ระหว่างให้ทีมกฎหมายตรวจสอบ ก่อนส่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาช่วยพิจารณา เพื่อแก้ปัญหาราคาน้ำมันในประเทศที่ขึ้นลงอยู่ทุกวันนี้”

นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ความจริงน้ำมันของไทยอยู่ที่ประมาณกว่า 20 บาทต่อลิตร ไม่ต่างจากราคาน้ำมันในประเทศมากนัก แต่สาเหตุที่ราคาน้ำมันในประเทศไทยสูงถึง 38-40 บาทต่อลิตร เพราะน้ำมันของไทยมีส่วนผสมของไบโอดีเซลและเอทานอล ซึ่งในอดีตมีราคาถูกกว่าน้ำมัน

แต่ปัจจุบันทั้งไบโอดีเซลและเอทานอลราคาแพงกว่าน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันของไทยแพงกว่าต่างประเทศ ประกอบกับภาษีสรรพสามิตที่เรียกเก็บจากน้ำมันดีเซลของไทยอยู่ในอัตรา 5.99 บาทต่อลิตร สูงกว่าประเทศสิงคโปร์ที่เรียกเก็บภาษีในอัตรา 5.54 บาทต่อลิตร และประเทศเวียดนามเรียกเก็บภาษีในอัตรา 1.70 บาทต่อลิตร เป็นต้น

ขณะที่ สถานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงล่าสุด ณ วันที่ 14 ก.ค. 2567 ติดลบ 111,855 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 64,252 ล้านบาท และบัญชีก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) หรือก๊าซปิโตรเลียมเหลวติดลบ 47,603 ล้านบาท