กรณีโลกออนไลน์มีการแชร์ภาพป้ายโฆษณาข้อความภาษาจีนอยู่กลางสี่แยกรัชดา ถนนรัชดาภิเษก โดยเป็นชวนซื้อพาสปอร์ตย้ายประเทศ จนการเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ กระทั่งมีการสั่งปลดป้ายทันที ตามที่ได้เสนอข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

สั่งปลดป้ายชวนซื้อพาสปอร์ตย้ายประเทศ เร่งสอบขออนุญาต-เสียภาษีถูกต้องหรือไม่

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. นายไพฑูรย์ งามมุข ผอ.เขตห้วยขวาง ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ก่อนเปิดเผยว่า ตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าป้ายดังกล่าว เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคารฉบับที่ 55 พ.ศ. 2553 มาตรา 66 พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 มาตรา 10, 11 และ 12 ต้องแสดงข้อความและภาพที่ไม่ขัดความเรียบร้อยของบ้านเมืองและวัฒนธรรม ซึ่งขณะนี้ทางสำนักงานเขตห้วยขวาง ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญภาษาจีน แปลข้อความดังกล่าว ส่วนเรื่องการเสียภาษีป้าย ทางเขตสามารถดำเนินการเรียกเก็บภาษี โดยจะคำนวณภาษีจากขนาดของป้าย 50 บาทต่อตารางเซนติเมตร โดยจากป้ายดังกล่าว สามารถเรียกเก็บรวมเป็นเงินประมาณ 160,000 ต่อปี แต่กรณีนี้สามารถเรียกเก็บภาษีได้ครึ่งหนึ่ง คือ 84,000 บาท เนื่องจากตรวจสอบพบว่าเพิ่งมีการดำเนินการติดตั้งเพียง 2 วัน

นายไพฑูรย์ เปิดเผยอีกว่า หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบสภาพอาคาร รวมถึงโครงสร้างของป้ายดังกล่าวว่ามีความสมบูรณ์แข็งแรงมากน้อยเพียงใด หากไม่สมบูรณ์ ก็ไม่สามารถที่จะติดตั้งโฆษณาได้ เบื้องต้นพบว่าอาคารแห่งนี้เป็นการลักลอบติดตั้งป้าย เพราะหลังจากตรวจสอบพบทางเขตก็เร่งดำเนินการทันที และหลังจากนี้ ทางเขตจะเข้มงวด ตรวจสอบป้ายลักษณะนี้ในพื้นที่ซึ่งมีอยู่ประมาณ 153 ป้าย ว่าเข้าข่ายกระทำความผิดหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ที่ผ่านมาไม่พบว่ามีเจ้าหน้าที่สังกัดของสำนักงานเขตห้วยขวางเข้าไปเกี่ยวข้องหรือมีการทุจริตอย่างแน่นอน และการดำเนินการเรียกเก็บภาษีทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์ของรัฐ ซึ่งทางเขตได้เงินจากภาษีป้าย เป็นอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพมหานคร

นายไพฑูรย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางเขตได้เรียกเจ้าของอาคารมาดำเนินการเปรียบเทียบปรับ เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ในความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมอาคารฉบับที่ 55 พ.ศ. 2553 มาตรา 66 ส่วนเจ้าของป้ายซึ่งพบว่าเป็นบริษัทที่มีเจ้าของเป็นคนไทย จะต้องมาเสียภาษีภายใน 15 วันหลังจากนี้

“การโฆษณาซื้อขายสัญชาติหรือพาสปอร์ต ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการพิสูจน์ทราบ ว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดใดบ้าง เบื้องต้นพบข้อมูลในป้ายไม่ได้มีการประกาศซื้อขายสัญชาติไทย แต่พบว่าบริษัทที่ว่าจ้างนั้น มีเจ้าของเป็นชาวสิงคโปร์ และยังไม่สามารถดำเนินคดีตามกฎหมายได้ เพราะต้องรอเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง” นายไพฑูรย์ กล่าวทิ้งท้าย